อัลตราซาวด์ในงานฟื้นฟู: หลักการ พลังงาน และข้อค้นพบทางคลินิก
อัลตราซาวด์ (Ultrasound หรือ US) เป็นหนึ่งในเครื่องมือทางกายภาพบำบัดที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เช่น การจัดการพังผืด (scar tissue), บรรเทาอาการปวดจากการบาดเจ็บของระบบกล้ามเนื้อและกระดูก และส่งเสริมการฟื้นฟูของเส้นเอ็น (tendinopathies)
งานวิจัยในสัตว์ทดลองจำนวนมากแสดงให้เห็นว่าอัลตราซาวด์สามารถส่งผลเชิงบวกต่อการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อ ลดอาการอักเสบ และบรรเทาอาการปวดได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ในการศึกษาทางคลินิกกับมนุษย์ ผลลัพธ์ยังไม่สอดคล้องกันเสมอไป แม้จะมีหลักฐานในระดับปานกลางที่สนับสนุนบางเทคนิคและข้อบ่งชี้ทางคลินิก
ในบทความนี้ เราจะพาผู้อ่านทำความเข้าใจหลักการพื้นฐานของอัลตราซาวด์ เช่น
พลังงานเสียง (Acoustic energy)
การถ่ายเทและดูดกลืนพลังงานในเนื้อเยื่อ
การนำไปใช้ทางคลินิก
ข้อควรระวังด้านความปลอดภัย
รวมถึงการเน้นย้ำความจำเป็นของงานวิจัยที่ออกแบบดี เพื่อกำหนดว่าใครคือกลุ่มผู้ป่วยที่จะได้รับประโยชน์สูงสุด และควรใช้ขนาดพลังงานเท่าใดเพื่อให้เกิดผลลัพธ์เชิงบำบัดจริง เช่น การเพิ่มช่วงการเคลื่อนไหว (ROM) หรือการลดปวด
🔊 หลักการของพลังงานเสียง (Acoustic Energy)
อัลตราซาวด์คืออะไร?
อัลตราซาวด์เป็นพลังงานเชิงกล (mechanical energy) หรือที่เรียกว่าพลังงานเสียง (sound energy) ซึ่งต่างจากพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า เช่น แสงหรือคลื่นวิทยุที่เดินทางได้แม้ในสุญญากาศ พลังงานเสียงจำเป็นต้องอาศัย “ตัวกลาง” เช่น เจลนำคลื่น เพื่อถ่ายเทพลังงานเข้าสู่ร่างกาย
กลไกการถ่ายพลังงาน
เมื่อคลื่นเสียงเข้าสู่เนื้อเยื่อ มันจะกระตุ้นให้โมเลกุลในเนื้อเยื่อเกิดการสั่นสะเทือน โมเลกุลหนึ่งจะชนอีกโมเลกุลหนึ่ง ทำให้เกิดการถ่ายทอดพลังงานต่อเนื่องเหมือนลูกโซ่ จนพลังงานถูกดูดซึมโดยเนื้อเยื่อ (energy dissipation)
ยิ่งโมเลกุลอยู่ใกล้กันมาก (เนื้อเยื่อหนาแน่น เช่น เอ็นหรือกระดูก) คลื่นเสียงจะเดินทางเร็วขึ้น แต่ก็จะสูญเสียพลังงานเร็วขึ้นเช่นกัน เนื่องจากต้องเอาชนะแรงต้านที่มากขึ้น
📏 ความถี่ของคลื่นเสียง
ความถี่ (frequency) หมายถึง จำนวนรอบของการสั่นในหนึ่งวินาที วัดเป็นเฮิรตซ์ (Hz)
1 MHz = 1,000,000 รอบ/วินาที
คลื่นเสียงที่มนุษย์ได้ยินอยู่ในช่วง 16–20,000 Hz
อัลตราซาวด์ คือคลื่นเสียงที่มีความถี่สูงกว่า 20,000 Hz
🔦 รูปแบบการกระจายของคลื่น
คลื่นเสียงที่มีความถี่ต่ำจะกระจายกว้างในทุกทิศทาง คล้ายแสงจากเทียน
คลื่นความถี่สูงจะพุ่งเป็นลำแคบ (collimated) คล้ายแสงจากไฟฉาย
เครื่องอัลตราซาวด์ทางการแพทย์จึงผลิตคลื่นเสียงที่พุ่งตรงเป็นลำทรงกระบอก ซึ่งช่วยให้โฟกัสพลังงานไปยังเป้าหมายในร่างกายได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ
Piezoelectricity
การสร้างคลื่นอัลตราซาวด์ (Production of Ultrasound Waves)
การสร้างคลื่นอัลตราซาวด์ที่ใช้ในทางกายภาพบำบัดมีพื้นฐานจากฟิสิกส์ของคลื่นเสียง ซึ่งเดินทางผ่านเนื้อเยื่อในรูปแบบของคลื่นไซน์ (sinusoidal waves) โดยเกิดจากการสลับกันของเฟสที่มีแรงดันสูง (positive pressure) และแรงดันต่ำ (negative pressure)
🔄 คลื่นเสียงคืออะไร?
คลื่นเสียงเป็นคลื่นเชิงกล (mechanical wave) ซึ่งต้องอาศัยตัวกลาง เช่น ของเหลวหรือเนื้อเยื่อในการเคลื่อนที่ ต่างจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่สามารถเดินทางในสุญญากาศได้
เมื่อคลื่นเสียงเคลื่อนที่ มันจะทำให้โมเลกุลในเนื้อเยื่อเกิดการ บีบอัด (compression) และ กระจายตัว (rarefaction) สลับกันเป็นจังหวะตลอดแนวคลื่น
บริเวณที่โมเลกุลถูกอัดแน่นเรียกว่า condensation (หรือ compression zone)
บริเวณที่โมเลกุลห่างกันมากขึ้นเรียกว่า rarefaction
คลื่นเหล่านี้กระจายตัวเป็นระลอกๆ ผ่านเนื้อเยื่อ และพลังงานของคลื่นจะค่อยๆ ถูกดูดซึมระหว่างการเดินทาง
⚡ Piezoelectric Effect: กลไกหลักของหัวอัลตราซาวด์
ในเครื่องอัลตราซาวด์ คลื่นเสียงไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่สร้างขึ้นโดยใช้ ผลึกเพียโซอิเล็กทริก (piezoelectric crystal) ซึ่งอยู่ภายในหัวอุปกรณ์ (transducer)
ผลึกนี้มีคุณสมบัติพิเศษ:
เมื่อถูก บีบอัดหรือขยายตัวทางกล → จะเกิดแรงดันไฟฟ้า
เมื่อ จ่ายไฟฟ้าให้ผลึก → จะเกิดการบีบอัดหรือขยายตัวของผลึก
นี่คือสิ่งที่เรียกว่า “Reverse Piezoelectric Effect”
ในทางปฏิบัติ เครื่องจะส่ง กระแสไฟฟ้าสลับความถี่สูง (high-frequency alternating current) เข้าไปที่ผลึก ซึ่งจะทำให้มันสั่นในจังหวะที่เร็วมาก เกิดเป็นแรงดันเสียงที่ส่งออกมาสม่ำเสมอและควบคุมได้
📏 ความถี่และความยาวคลื่น: ปรับคุณสมบัติของคลื่นให้เหมาะกับการรักษา
การสั่นของผลึกจะสร้างคลื่นเสียงตามความถี่ของกระแสไฟฟ้าที่จ่ายเข้าไป ซึ่งมีผลโดยตรงต่อ ความยาวคลื่น (wavelength) และ ความสามารถในการเจาะลึกของคลื่นเสียงในร่างกาย
ความถี่ (Frequency) หมายถึงจำนวนรอบการสั่นต่อวินาที วัดเป็นเฮิรตซ์ (Hz)
1 MHz = 1,000,000 รอบ/วินาที
ความยาวคลื่น (Wavelength) คือระยะห่างระหว่างจุดยอดคลื่น (peak) 2 จุดติดกัน
ความสัมพันธ์ระหว่างความถี่ ความยาวคลื่น และความเร็วในการเดินทางของคลื่น แสดงได้โดยสมการ:
Velocity=Frequency×Wavelength\text{Velocity} = \text{Frequency} \times \text{Wavelength}Velocity=Frequency×Wavelength
ในเนื้อเยื่อมนุษย์ คลื่นที่มีความถี่สูง (เช่น 3 MHz) จะมีความยาวคลื่นสั้นและดูดซึมได้ตื้น (~1–2 ซม.)
ขณะที่ความถี่ต่ำ (เช่น 1 MHz) จะทะลุได้ลึกกว่า (~5 ซม.) เหมาะกับกล้ามเนื้อมัดใหญ่หรือเนื้อเยื่อชั้นลึก
“อัลตราซาวนด์แบบคลื่นต่อเนื่องและแบบพัลส์ ค่า duty cycle ของโหมดพัลส์ที่แสดงคือ 2 มิลลิวินาที / 4 มิลลิวินาที = 0.5 หรือ 50%”
คุณลักษณะของคลื่นอัลตราซาวด์ (Characteristics of the Ultrasound Wave)
คลื่นอัลตราซาวด์ที่ใช้เพื่อการรักษาทางกายภาพบำบัดมีคุณลักษณะหลัก 3 ประการ ได้แก่ ความถี่ (Frequency), โหมดการส่งคลื่น (Mode) และ ความเข้มของคลื่น (Intensity) โดยแต่ละคุณลักษณะมีผลต่อผลลัพธ์ทางชีวภาพที่เกิดขึ้นในเนื้อเยื่อ
📡 ความถี่ (Frequency): 1 MHz และ 3 MHz
ความถี่ของคลื่นอัลตราซาวด์วัดเป็นหน่วยเมกะเฮิรตซ์ (MHz) ซึ่งหมายถึงล้านรอบต่อวินาที โดยเครื่องอัลตราซาวด์ในคลินิกมักเป็นเครื่องแบบสองความถี่ (dual-frequency) ที่ให้ผู้ใช้งานเลือกได้ระหว่าง
1 MHz (ความถี่ต่ำ)
3 MHz หรือ 3.3 MHz (ความถี่สูง)
หลักการเลือกใช้:
3 MHz: เหมาะกับเนื้อเยื่อที่อยู่ลึกไม่เกิน 1–2 ซม. จากผิว เช่น กล้ามเนื้อชั้นตื้น
1 MHz: เหมาะกับการรักษาเนื้อเยื่อที่อยู่ลึกกว่า 2 ซม. เช่น กล้ามเนื้อลึก, เอ็นบริเวณต้นขา
ความถี่สูง → แรงต้านโมเลกุลมากขึ้น → พลังงานดูดซึมที่ผิวมากกว่า → ไม่ลงลึก
ความถี่ต่ำ → คลื่นเดินทางได้ลึกกว่า แต่กระจายตัวมากกว่า
🌊 โหมดการส่งคลื่น (Mode): Continuous vs Pulsed
คลื่นอัลตราซาวด์สามารถส่งออกได้ 2 รูปแบบหลัก:
Continuous Mode: ส่งพลังงานต่อเนื่องโดยไม่มีช่วงพัก
Pulsed Mode: ส่งพลังงานเป็นช่วงๆ (on-off) สลับกันในระดับมิลลิวินาที (msec)
ในโหมด Pulsed จะมีพารามิเตอร์สำคัญที่เรียกว่า Duty Cycle หรือ รอบหน้าที่ ซึ่งแสดงอัตราส่วนของช่วงเวลาที่พลังงานถูกส่งออกเทียบกับเวลารวมของ 1 รอบคลื่น เช่น
Duty Cycle=Time OnTime On + Time Off\text{Duty Cycle} = \frac{\text{Time On}}{\text{Time On + Time Off}}Duty Cycle=Time On + Time OffTime On
ตัวอย่างการใช้งาน:
Continuous Mode → ใช้เพื่อการเพิ่มอุณหภูมิเนื้อเยื่อ (thermal effect)
Pulsed Mode 20% → ใช้เพื่อผลกระทบเชิงกลโดยไม่ทำให้ร้อน (nonthermal effect)
Pulsed Mode 50% → ให้ความร้อนเล็กน้อย และยังส่งผลทางกลได้ดี เช่น กระตุ้นการเคลื่อนที่ของไอออนผ่านเยื่อหุ้มเซลล์
เครื่องอัลตราซาวด์ทั่วไปให้เลือก Duty Cycle ได้ตั้งแต่ 5% ถึง 50% โดยการวิจัยทางคลินิกส่วนใหญ่มักใช้ 20% หรือ 50%
🔥 ความเข้มของคลื่น (Intensity): วัดเป็น W/cm²
ความเข้มของคลื่นเสียง หมายถึงปริมาณพลังงานที่ส่งออกจากหัวอัลตราซาวด์ วัดเป็นวัตต์ต่อตารางเซนติเมตร (W/cm²) โดยขึ้นกับพลังงานของผลึกเพียโซอิเล็กทริกและลักษณะการสั่นของมัน
🔸 พื้นที่แผ่รังสีที่มีผลจริง (Effective Radiating Area: ERA)
เป็นพื้นที่ของหัวอุปกรณ์ที่คลื่นอัลตราซาวด์ถูกปล่อยออกจริง
มักมีขนาดเล็กกว่าหน้าตัดของหัวเครื่อง
ขึ้นกับขนาดและคุณสมบัติของผลึกภายในหัวอุปกรณ์
🔸 ความเข้มสูงสุดเชิงตำแหน่ง (Spatial Peak Intensity: ISP)
คือบริเวณที่พลังงานสูงสุดภายในลำคลื่น มักอยู่ตรงกลางของ ERA
🔸 ความเข้มเฉลี่ยเชิงตำแหน่ง (Spatial Average Intensity: ISA)
คือค่าพลังงานเฉลี่ยที่แพทย์หรือผู้ใช้เห็นบนหน้าจอเครื่อง
ใช้ในทางคลินิกเพื่อประเมิน “ความเข้มของการรักษา”
🔸 อัตราความไม่สม่ำเสมอของลำคลื่น (Beam Non-uniformity Ratio: BNR)
เป็นอัตราส่วนระหว่าง ISP กับ ISA
ยิ่งค่า BNR ต่ำ (เช่น ≤ 6:1) → ลำคลื่นเรียบสม่ำเสมอ → ลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บจากจุดร้อน (hot spots)
อุปกรณ์ที่มี BNR ต่ำมักผลิตยากและมีราคาสูงกว่า
🧮 คำนวณความเข้มในโหมด Pulsed: ISATA และ ISATP
ในโหมด Pulsed ค่าความเข้มจำเป็นต้องพิจารณาควบคู่กับ Duty Cycle โดยมีหน่วยวัดเพิ่มเติม:
ISATP: Spatial Average Temporal Peak Intensity = ความเข้มเฉลี่ยในช่วงที่เปิดคลื่น
ISATA: Spatial Average Temporal Average Intensity = ค่าความเข้มเฉลี่ยตลอดเวลา รวมช่วงพักด้วย
ISATA=ISATP×Duty Cycle\text{ISATA} = \text{ISATP} \times \text{Duty Cycle}ISATA=ISATP×Duty Cycle
ตัวอย่าง:
หากใช้พลังงาน 2.0 W/cm² กับ Duty Cycle 20% →
ISATA=2.0×0.20=0.4 W/cm2\text{ISATA} = 2.0 \times 0.20 = 0.4\ \text{W/cm}^2ISATA=2.0×0.20=0.4 W/cm2
ในทางปฏิบัติ คลินิกส่วนใหญ่มักระบุเพียงค่าความเข้มเฉลี่ย (ISA) และ Duty Cycle แยกกันมากกว่าจะใช้ ISATA
แต่การใช้ ISATA มีประโยชน์ในการเปรียบเทียบพลังงานที่ได้รับจริงระหว่างโหมด Continuous และ Pulsed เช่น:
Continuous: 0.5 W/cm²
Pulsed 50% @ 1.0 W/cm² → ISATA = 0.5 W/cm²
→ ได้พลังงานสุทธิเท่ากัน แม้การกระจายของพลังงานจะต่างกัน
ปฏิกิริยาของคลื่นอัลตราซาวด์กับเนื้อเยื่อชีวภาพ (Ultrasound Interaction With Biological Tissues)
คลื่นอัลตราซาวด์เป็นคลื่นเสียงที่ต้องใช้ตัวกลางในการแพร่กระจาย โดยมีรูปแบบของการสั่นสะเทือนแตกต่างกันในแต่ละสภาพของตัวกลาง:
ในของเหลวและก๊าซ: การสั่นของโมเลกุลเกิดขึ้นในแนวขนานกับทิศทางการเดินทางของพลังงาน (longitudinal wave)
ในของแข็ง: โมเลกุลสามารถสั่นในแนวตั้งฉากกับทิศทางการเดินทางได้ด้วย (transverse wave) เนื่องจากพันธะสามมิติที่แน่นหนาในของแข็ง
คลื่นเสียงกับขอบเขตเนื้อเยื่อ: การสะท้อน, หักเห และการดูดซึม
คลื่นอัลตราซาวด์สามารถเกิด:
การถ่ายเท (transmission)
การดูดซึม (absorption)
การสะท้อน (reflection)
การหักเห (refraction)
สิ่งที่จะเกิดขึ้นขึ้นอยู่กับ:
คุณสมบัติของเนื้อเยื่อ เช่น ความหนาแน่น, โครงสร้างโมเลกุล
มุมที่คลื่นกระทบกับเนื้อเยื่อ เช่น ตั้งฉาก หรือเฉียง
🧱 Acoustic Impedance (อิมพีแดนซ์เสียง)
คือ “ความต้านทานของวัสดุต่อการเดินทางของเสียง”
วัสดุที่มี impedance ต่ำ (เช่น เลือด, น้ำเหลือง) → คลื่นเดินทางผ่านง่าย
วัสดุที่มี impedance สูง (เช่น กระดูก) → ดูดซึมพลังงานมาก, สะท้อนกลับมาก
เมื่อคลื่นอัลตราซาวด์ผ่านขอบเขตระหว่างเนื้อเยื่อต่างชนิดกัน (เช่น กล้ามเนื้อกับกระดูก) การสะท้อนจะสูงกว่าการผ่านจากไขมันไปยังก้ามเนื้อ เพราะความต่างของ impedance มากกว่า
🔁 Standing Wave: คลื่นสะท้อนย้อนกลับและเสริมแรงกัน
หากหัวอัลตราซาวด์หยุดนิ่ง และคลื่นสะท้อนย้อนกลับจากขอบเขตเนื้อเยื่อมาเจอกับคลื่นใหม่ที่กำลังเดินหน้าในทิศตรงข้าม และทั้งสองคลื่น “เข้าจังหวะกัน” (in-phase) จะเกิดปรากฏการณ์ คลื่นนิ่ง (standing wave) ทำให้บางบริเวณมีพลังงานสะสมสูงผิดปกติ → อาจเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อ
การเคลื่อนหัวอัลตราซาวด์อย่างต่อเนื่องระหว่างรักษาจะช่วย ลดโอกาสเกิด standing wave
🔃 Refraction: การหักเหของคลื่นเมื่อเปลี่ยนตัวกลาง
เมื่อคลื่นเดินทางจากเนื้อเยื่อหนึ่งไปอีกชนิดหนึ่งที่มีความหนาแน่นต่างกัน มุมของคลื่นจะเปลี่ยนไป เรียกว่า การหักเห (refraction) โดยเฉพาะถ้าคลื่นกระทบในมุมเอียงมากกว่า 15° คลื่นอาจเดินทางขนานไปกับผิวหนัง แทนที่จะเข้าสู่เนื้อเยื่อ
🧪 ปัจจัยที่มีผลต่อการดูดซึมพลังงานของคลื่น (Factors Influencing Energy Absorption)
เมื่อคลื่นอัลตราซาวด์เคลื่อนผ่านเนื้อเยื่อ พลังงานบางส่วนจะ:
ถูกดูดซึม (กลายเป็นพลังงานสั่นของโมเลกุล)
สะท้อน
หักเห
หรือเดินทางต่อไป
กระบวนการนี้เรียกรวมว่า การลดทอนพลังงาน (attenuation)
โดยวัดจากปริมาณพลังงานที่ลดลงเมื่อคลื่นเดินทางผ่านเนื้อเยื่อ
เนื้อเยื่อที่มี ความหนาแน่นสูง และมีโปรตีนโดยเฉพาะ คอลลาเจน มาก (เช่น เส้นเอ็น, เอ็นข้อต่อ) จะดูดซึมพลังงานได้มากที่สุด
🔍 ความถี่มีผลต่อระดับความลึกที่คลื่นลงถึง
แม้ว่าจะมีแนวทางทั่วไปว่า
3 MHz → ใช้กับเนื้อเยื่อตื้น (~1–2 ซม.)
1 MHz → ใช้กับเนื้อเยื่อลึก (>2 ซม.)
แต่การศึกษาหลายชิ้นพบว่า 1 MHz ก็สามารถส่งผลต่อเนื้อเยื่อตื้น ได้ และการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิในเนื้อเยื่อไม่ได้สอดคล้องเป๊ะกับระดับความถี่เสมอไป เพราะเนื้อเยื่อที่อยู่ห่างจากจุดดูดซึมพลังงานมากที่สุดก็อาจได้รับความร้อนผ่าน การนำความร้อน (conduction) เช่นกัน
💥 ความเข้มของคลื่นและโครงสร้างเนื้อเยื่อที่คลื่นเดินทางผ่าน
ยิ่งความเข้มของคลื่นเริ่มต้นมาก → ยิ่งมีโอกาสที่พลังงานสุทธิจะไปถึงเนื้อเยื่อเป้าหมายได้มากขึ้น (แม้ต้องผ่านเนื้อเยื่อชั้นอื่นที่สะท้อน/ดูดซึมบางส่วน)
สิ่งที่มีผลต่อการดูดซึม ได้แก่:
จำนวนชั้นและชนิดของเนื้อเยื่อที่คลื่นต้องผ่าน
องค์ประกอบของเนื้อเยื่อเป้าหมาย เช่น มีคอลลาเจนหรือไม่
ความเข้มเริ่มต้นของคลื่น
ความถี่ของคลื่น
⚠️ ตัวกลางนำคลื่น: ไม่มีเจล = ไม่มีการถ่ายพลังงาน
คลื่นอัลตราซาวด์ ไม่สามารถเดินทางผ่านอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หากไม่มี เจลนำคลื่น ระหว่างหัวอุปกรณ์กับผิวหนัง → พลังงานเกือบทั้งหมดสะท้อนกลับ
ตัวกลางต้อง ไม่มีฟองอากาศ และแนบแน่นกับผิวเพื่อให้พลังงานส่งเข้าสู่ร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และมุมของหัวอุปกรณ์ควรตั้ง ฉาก (90°) กับพื้นผิวเป้าหมาย เพราะหากเอียงเกิน 15° พลังงานจะ “เลี้ยว” ไปตามผิว แทนที่จะเข้าสู่เนื้อเยื่อ
ผลของอัลตราซาวด์: พื้นฐานสู่การใช้งานเพื่อการรักษา (Effects of Ultrasound as a Basis for Therapeutic Use)
อัลตราซาวด์ถูกใช้ในกายภาพบำบัดไม่เพียงแค่เพื่อสร้างความร้อนในเนื้อเยื่อเท่านั้น แต่ยังให้ผลทางกล (mechanical) ที่ส่งผลต่อการทำงานของเซลล์และโครงสร้างเนื้อเยื่ออีกด้วย ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น ผลจากความร้อน (thermal effects) และ ผลที่ไม่ใช่ความร้อน (nonthermal or mechanical effects) ดังนี้:
Thermal Effects: การเพิ่มอุณหภูมิของเนื้อเยื่อเพื่อผลทางกายภาพ
เมื่อคลื่นอัลตราซาวด์ถูกดูดซึมโดยเนื้อเยื่อ พลังงานเชิงกลจะเปลี่ยนเป็น พลังงานจลน์ (kinetic energy) และทำให้เกิด แรงเสียดทานระหว่างโมเลกุล → ผลลัพธ์คือความร้อน
การเพิ่มอุณหภูมินี้สัมพันธ์กับผลทางสรีรวิทยาที่เป็นประโยชน์ เช่น:
ลดการเกร็งของกล้ามเนื้อ (muscle guarding)
ลดการรับรู้ความเจ็บปวด (pain perception)
เพิ่มการยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อ (tissue extensibility)
เพิ่มการไหลเวียนเลือด
Lehman et al. รายงานว่า:
เพิ่มอุณหภูมิ 1°C → เพิ่มอัตราการเผาผลาญ (metabolism)
เพิ่ม 2–3°C → ลดอาการเกร็งกล้ามเนื้อ + เพิ่มการไหลเวียน
เพิ่ม ≥4°C → เพิ่มความยืดหยุ่นของคอลลาเจน + ลดการกระตุ้นระบบประสาทซิมพาเทติก
💧 Mechanical Effects: ผลทางชีวกลที่ไม่เกี่ยวกับความร้อน
แม้ไม่มีการเพิ่มอุณหภูมิอย่างชัดเจน อัลตราซาวด์ยังสามารถสร้าง ผลกระทบระดับเซลล์ ได้ผ่านกลไกเชิงกล เช่น:
🔁 Microstreaming
การเคลื่อนที่เล็กๆ ของไอออนและของเหลวรอบเซลล์
อาจทำให้ เยื่อหุ้มเซลล์เปลี่ยนแปลง ความสามารถในการซึมผ่านและกระตุ้นกิจกรรมของเซลล์
🌫️ Cavitation
การสั่นของ ฟองแก๊สขนาดเล็ก ในของเหลวของร่างกาย
Stable cavitation → เกิดการขยาย-หดของฟองแบบปลอดภัย (มีผลเชิงบำบัด)
Unstable cavitation → ฟองยุบตัวรุนแรง อาจทำลายเนื้อเยื่อ (ไม่เกิดในการรักษาปกติ)
✅ Pulsed ultrasound ถูกใช้เพื่อเน้นผล nonthermal เหล่านี้ โดยเฉพาะ acoustic streaming และ stable cavitation
💪 ผลต่อกล้ามเนื้อ (Muscular Effects)
Draper et al. ศึกษาการเพิ่มอุณหภูมิของกล้ามเนื้อ triceps surae ในคนสุขภาพดี:
3 MHz @ 2.0 W/cm² → เพิ่มอุณหภูมิกล้ามเนื้อชั้นตื้นขึ้น 4°C ใน 2.5 นาที
1 MHz @ 2.0 W/cm² → ใช้เวลา 10 นาที จึงเพิ่มอุณหภูมิได้เท่ากันในกล้ามเนื้อชั้นลึก
1 MHz @ 0.5 W/cm² → ไม่สามารถเพิ่มอุณหภูมิ >1°C ได้แม้ใช้เวลา 10 นาที
🟡 สรุป: ต้องใช้ เวลานานขึ้น + ความเข้มสูงกว่า ในการเพิ่มอุณหภูมิของเนื้อเยื่อลึก โดยเฉพาะเมื่อใช้คลื่นความถี่ต่ำอย่าง 1 MHz
🧵 ผลต่อเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (เช่น เส้นเอ็น/เอ็นข้อต่อ)
เส้นเอ็นมี คอลลาเจนสูง + เส้นเลือดน้อย → ดูดซึมพลังงานได้มากกว่า → ร้อนเร็วกว่าเนื้อเยื่ออื่น เช่น กล้ามเนื้อ
Chan et al. รายงาน:
ใช้ 3 MHz @ 1.0 W/cm² นาน 4 นาที บนเอ็นสะบ้า (patellar tendon)
หากพื้นที่รักษา = 2 เท่า ERA → อุณหภูมิเอ็นเพิ่ม 8°C, คงอยู่ 20 นาที
ถ้าใช้พื้นที่ 4 เท่า ERA → เพิ่ม 5°C, อยู่ได้ 15 นาที
🔑 หากต้องการ ยืดเนื้อเยื่อขณะอุ่น → ควร ยืดทันทีหลังจบอัลตราซาวด์ หรือระหว่างการรักษา ภายใน “therapeutic window” ที่อุณหภูมิ ≥4°C
🦵 ผลต่ออาการปวดข้อ (Joint Pain)
การใช้อัลตราซาวด์แบบ ต่อเนื่อง (1 MHz @ 1.0 W/cm² นาน 5 นาที) ช่วยลดอาการปวดเข่าในผู้ป่วยข้อเสื่อมได้ดีกว่ากลุ่มที่ได้รับการรักษาหลอก (sham ultrasound) ในการศึกษาที่ควบคุมแบบสุ่ม (RCT)
🩸 ผลต่อการไหลเวียนโลหิต (Hemodynamic Effects)
🔥 กลไก:
การเพิ่มอุณหภูมิของเนื้อเยื่อ → ทำให้เกิดการ ขยายหลอดเลือด (vasodilation) และเพิ่มการไหลเวียน เพื่อระบายความร้อน
📊 งานวิจัยให้ผลผสมผสาน:
Robinson & Buono:
ใช้ 1 MHz @ 1.5 W/cm² นาน 5 นาที → ไม่มีผลต่อการไหลเวียนของแขน
พื้นที่รักษาใหญ่เกินไป (16–25 เท่า ERA) → ไม่ร้อนเพียงพอ
Fabrizio et al.:
ใช้ขนาดพื้นที่เล็กลง (2 เท่า ERA) → พบว่า การไหลเวียนที่หลอดเลือด popliteal เพิ่มขึ้น
คาดว่าอุณหภูมิกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น ~1–1.75°C
⚠️ 3 MHz ไม่สามารถเพิ่มการไหลเวียนเลือดได้ชัดเจน
⚡ Nonthermal Mechanisms ในระบบหลอดเลือด:
Reflex vasodilation จากการกระตุ้นปมประสาทซิมพาเทติกบริเวณหลัง
การเปลี่ยนแปลง permeability ของเยื่อหุ้มเซลล์ → กระตุ้นการหลั่งฮีสตามีนและเปลี่ยนโทนของหลอดเลือด
การไหลเวียนเลือดเพิ่มสูงสุด ภายใน 5 นาทีของการรักษา และ กลับสู่ baseline ภายใน 1 นาที หลังหยุด
การนำกระแสของเส้นประสาทมอเตอร์ (Motor Nerve Conduction Velocity: MNCV)
การเปลี่ยนแปลงของ MNCV เมื่อได้รับอัลตราซาวด์มีรายงานทั้ง เพิ่มขึ้น, ลดลง หรือ ไม่เปลี่ยนแปลง ขึ้นกับ ความเข้มของคลื่น, ระยะเวลาในการรักษา, และลักษณะของการทดลอง
Zankel รายงานว่า อัลตราซาวด์ที่ 1 MHz, 1.0 W/cm² นาน 5 นาที ที่ปลายแขน (volar forearm) ไม่เปลี่ยนแปลง MNCV ของเส้นประสาทอัลนาร์
→ แต่เมื่อเพิ่มความเข้มเป็น 2.0 W/cm² หรือเพิ่มเวลารักษาเป็น 10 นาที → MNCV ลดลงFarmer รายงานว่า ความเข้มระหว่าง 1.0–2.0 W/cm² ทำให้ MNCV ลดลง แต่ถ้าใช้ความเข้มสูงกว่านี้ → MNCV เพิ่มขึ้น
📈 การนำกระแสของเส้นประสาทรับความรู้สึก (Sensory Nerve Conduction Velocity: SNCV)
Currier et al.: ใช้ 1 MHz @ 1.5 W/cm² นาน 5 นาที → SNCV ของสาขา lateral cutaneous ของ radial nerve เพิ่มขึ้น
Halle et al.: ใช้ 1 MHz @ 1.0 W/cm² นาน 5–20 นาที → SNCV ของ radial nerve ผิวเผิน เพิ่มขึ้น เช่นกัน
ทั้งสองงานพบว่า อุณหภูมิใต้ผิวหนังเพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นว่า thermal dose อาจมีบทบาทต่อ SNCV
แต่ยังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัดว่าการเปลี่ยนแปลง SNCV เกิดจาก ความร้อนเพียงอย่างเดียว หรือมีปัจจัยอื่นร่วมด้วย
❗ ความสัมพันธ์ระหว่าง SNCV/MNCV กับ “ความรู้สึกปวด” ยังไม่ชัดเจน
Lehmann et al. พบว่า อัลตราซาวด์ที่ 0.8 MHz @ 1.5 W/cm² เพิ่ม pain threshold (ลดความไวต่อความเจ็บปวด)
แสดงให้เห็นว่า การเปลี่ยนความรู้สึกเจ็บ อาจไม่ได้เกิดจากผลต่อเนื้อเยื่อประสาทเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงผลจาก การเปลี่ยนแปลงหลอดเลือดและอุณหภูมิในพื้นที่รักษา
🧬 ผลหลังบาดเจ็บ: การอักเสบและการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ (Posttraumatic Effects)
🧪 หลักฐานจากงานวิจัยในห้องทดลอง (In Vitro Research)
อัลตราซาวด์สามารถกระตุ้นการทำงานของเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับ การอักเสบเฉียบพลันและการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
Harvey et al.: ใช้ 3 MHz @ 0.5–2.0 W/cm² → เพิ่มการสร้างโปรตีนใน fibroblasts มนุษย์ที่เพาะเลี้ยง
Ramirez et al.: ใช้ 1 MHz @ 0.4 W/cm² → กระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจน และการเพิ่มจำนวน fibroblasts
Young & Dyson: ใช้ 0.75 หรือ 3 MHz @ 0.5 W/cm² → กระตุ้น macrophages ให้หลั่งสารที่เพิ่มการแบ่งตัวของ fibroblast
Mortimer & Dyson: ใช้ 1 MHz, 20% duty cycle, 0.5–1.0 W/cm² → เพิ่มการดูดแคลเซียมใน fibroblasts (แสดงถึงกิจกรรมเซลล์ที่สูงขึ้น)
🩹 การหายของแผล (Wound Healing)
📊 งานวิจัยในสัตว์:
Young & Dyson: ใช้ 0.1 W/cm² นาน 5–7 วันต่อเนื่อง → แผลผิวหนังของหนูมีการสร้างหลอดเลือดใหม่มากกว่า sham-treated
Byl et al.: ใช้ 1 MHz, 20% duty cycle, 0.5 W/cm² (3 วัน) → ตามด้วย 1.5 W/cm² (2 วัน) → แผลในหมูหายเร็วกว่า:
มีแผลเล็กลง
เพิ่มคอลลาเจน
เพิ่มความแข็งแรง
เพิ่ม mast cell degranulation
Dose ต่ำกว่า (0.5 W/cm²) ได้ผลดีกว่า 1.5 W/cm² สำหรับการสะสมคอลลาเจนและเพิ่มความแข็งแรงของเนื้อเยื่อ
📉 งานวิจัยในมนุษย์:
การทดลองในผู้ป่วยแผลเรื้อรัง (เช่น pressure ulcers, venous ulcers) ให้ผลไม่ชัดเจน
การวิเคราะห์เชิงระบบ (systematic review) และ meta-analysis พบเพียง ผลเล็กน้อยต่ออัตราการหายของแผล
ไม่พบความแตกต่างชัดเจนในจำนวนแผลที่หายสนิท
🔎 ความขัดแย้งนี้อาจเกิดจากลักษณะแผลไม่เหมือนกัน:
แผลในสัตว์ = แผลที่เกิดจากผ่าตัดในเนื้อเยื่อปกติ
แผลเรื้อรังในคน = เนื้อเยื่อขาดเลือดแบบเรื้อรัง → ไม่ตอบสนองต่อกระบวนการอักเสบตามปกติ
💪 การฟื้นฟูกล้ามเนื้อและอาการฟกช้ำ (Muscle Healing and Contusions)
🧬 จากแบบจำลองสัตว์:
Rantanen et al.:
ใช้ pulsed US @ 3 MHz, 20% duty, 1.5 W/cm² (ISATA = 0.3)
เริ่มรักษาในวันที่ 3 หลังบาดเจ็บ → ทำวันละ 6 นาที, 2 วันติด และเว้น 1 วัน
พบว่า satellite cells และ fibroblast เพิ่มขึ้น → แต่อย่างไรก็ตาม ไม่เพิ่มการสร้าง myotube
Markert et al.:
ใช้ US แบบต่อเนื่อง @ 0.1 W/cm² วันละ 5 นาที + ร่วมกับการออกกำลังกาย
ไม่พบผลที่มีนัยสำคัญต่อการฟื้นฟูใยกล้ามเนื้อ
🔑 สรุป: ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่า US ช่วยฟื้นกล้ามเนื้อจากการฟกช้ำ → ควรมีการศึกษาเพิ่มเติมที่ควบคุมอย่างเข้มงวด เช่น การใช้ ultrasound imaging วัดก่อน-หลัง
🔧 สรุปกลไกการใช้ US ในแต่ละช่วงการฟื้นตัว
ระยะของการหาย (Healing Phase) กลไกที่เกี่ยวข้องกับอัลตราซาวด์ Inflammatory Phase – กระตุ้น growth factors
– ส่งเสริม angiogenesis (หลอดเลือดใหม่)
– อาจช่วยลดการอักเสบ (phonophoresis)Proliferative Phase – กระตุ้นการสร้าง fibroblast (fibroplasia)
– เพิ่ม vascular supplyRemodeling Phase – เพิ่ม extensibility ของเนื้อเยื่อ
– ส่งผลต่อแผลเป็น (scar remodeling)
– เพิ่มอุณหภูมิด้วย continuous wave (CW)
การฟื้นฟูเส้นประสาทส่วนปลาย (Peripheral Nerve Healing)
หลักฐานเบื้องต้นจากสัตว์ทดลองแสดงให้เห็นว่า อัลตราซาวด์ความเข้มต่ำแบบพัลส์ (Low-Intensity Pulsed Ultrasound: LIPUS) สามารถช่วยฟื้นฟูการบาดเจ็บของเส้นประสาทส่วนปลายได้
Crisci & Ferreira:
ใช้ 1.5 MHz, ISATA = 16 mW/cm², 20 นาที/วัน × 12 วัน
พบว่าเพิ่มจำนวนเส้นใยประสาทที่งอกใหม่, การหุ้มปลอกไมอีลิน, ขนาดเส้นใย และกิจกรรมของ Schwann cell
เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม พบว่าฟื้นตัวดีกว่า
Mourad et al.:
บาดเจ็บแบบ “crush injury” ต่อ sciatic nerve ของหนู
ใช้ 2.25 MHz, ISATA = 0.25 W/cm², 1 นาที × 3 ครั้ง/สัปดาห์ × 30 วัน
ผลลัพธ์: กลุ่มที่ได้รับการรักษา ฟื้นการใช้ขาได้เร็วขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
🧵 การฟื้นฟูเส้นเอ็นและเอ็นยึดข้อ (Tendon and Ligament Healing)
🧪 หลักฐานในสัตว์ทดลอง:
การใช้ US แบบต่อเนื่อง (CW) @ 1.5 W/cm² × 3 นาที วันเว้นวัน หลังบาดเจ็บเอ็น Achilles (partial rupture)
ได้ผลดีในช่วง 3 สัปดาห์ (แต่ไม่ชัดเจนที่ 2 สัปดาห์)
เอ็นมี คอลลาเจนจัดเรียงดีขึ้น, แรงต้านมากขึ้น
Enwemeka (กระต่าย):
ใช้ 1 MHz, 0.5–1.0 W/cm² ใต้น้ำ × 5 นาที/วัน × 10 วันแรกหลังบาดเจ็บ
กลุ่มที่ใช้ 0.5 W/cm² ได้ผลดีกว่า 1.0 W/cm² ในการต้านแรงดึง และการดูดซับพลังงาน
Saini et al. (สุนัข):
1 MHz @ 0.5 W/cm² × 10 วัน → ฟื้นการเดินเร็วขึ้น, เอ็นแสดงสัญญาณการซ่อมแซมเร็วกว่า
📉 ข้อโต้แย้งจากงานวิจัยบางส่วน:
Turner et al. (ไก่): เริ่มรักษาหลังผ่าตัด 1 สัปดาห์ → ไม่มีความแตกต่างด้านแรงกล
ใช้ 3 MHz, 25% duty cycle, 1.0 W/cm² × 4 นาที, 3 ครั้ง/สัปดาห์ × 5 สัปดาห์
🟡 Key Insight: การเริ่มรักษาเร็วหลังบาดเจ็บ ดูเหมือนเป็นปัจจัยสำคัญ
📉 งานวิจัยในคน: ผลยังไม่สนับสนุนชัดเจน
Takakura et al. (หนู): ใช้ pulsed US, 1.5 MHz, ISATA = 30 mW/cm² × 20 นาที/วัน → เอ็นข้างเข่าด้านใน (MCL) ฟื้นตัวดีขึ้น
แต่ในคน:
RCT ใน lateral ankle sprain → ไม่มีหลักฐานสนับสนุน
RCT ใน shoulder soft tissue disorders (1 MHz, CW, 1.5 W/cm² × 10 นาที × 15 วัน) → ไม่ต่างจากกลุ่มควบคุม
📌 ยังไม่มีการทดลองในคนโดยใช้ พารามิเตอร์ต่ำแบบที่ได้ผลดีในสัตว์ทดลอง จึงต้องการงานวิจัยเพิ่ม
🦴 การฟื้นฟูกระดูกและกระดูกอ่อนข้อต่อ (Fracture Healing and Articular Cartilage Repair)
🔍 พารามิเตอร์มาตรฐาน (ใช้ในหลายการศึกษา):
20% duty cycle, 1.5 MHz, ISATA = 30 mW/cm² × 20 นาที/วัน
ใช้ในเครื่องพิเศษเช่น Astar Physiogo SnG Applicator
🐇 งานวิจัยในสัตว์:
Pilla et al.: กระดูก fibula ของกระต่ายหายเร็วขึ้น 1.4–1.6 เท่า
Azuma et al.: กระดูก femur แข็งแรงขึ้นแม้ไม่มีความต่างในมวลกระดูก
Heybeli et al.: ใช้ US วินิจฉัย (7.5 MHz, 11.8 mW/cm²) × 10 นาที ทุก 5 วัน = ได้ผลเช่นกัน
👩⚕️ งานวิจัยในคน:
Heckman et al.: กระดูก tibia หายเร็วขึ้น 38%
Kristiansen et al.: กระดูกข้อมือ (distal radius) หายเร็วขึ้น 38%
Mayr et al.: กระดูก scaphoid หายเร็วขึ้น 31%
ใช้เฉพาะในกรณี กระดูกหักใหม่ ไม่ซับซ้อน และเริ่มรักษาเร็ว
📌 การใช้งานในกระดูกไม่ติด (nonunion) และกระดูกเชื่อมติดหลังผ่าตัดก็ให้ผลดี
🧩 ความเป็นไปได้ในข้อต่อ:
ยังเป็นเพียงงานในสัตว์ → LIPUS Therapy อาจกระตุ้นการซ่อมแซมกระดูกอ่อนใน arthritis ได้
📌 สรุปแนวโน้มการใช้ US ในการฟื้นฟูเนื้อเยื่อหลังบาดเจ็บ:
หัวข้อ | แนวโน้มที่ได้จากงานวิจัย |
---|---|
ระดับพลังงาน | ความเข้ำต่ำ (≤ 0.5 W/cm²) มักได้ผลดีกว่า |
โหมดคลื่น | ทั้ง pulsed และ continuous ใช้ได้ผล (แล้วแต่ tissue) |
เวลาเริ่มรักษา | ควรเริ่มเร็วที่สุดหลังบาดเจ็บ |
ระยะเวลา/ความถี่ | ใช้ วันละ 1 ครั้ง, ติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอ |
เทคนิคการใช้อัลตราซาวด์เพื่อการรักษา (Application Techniques)
🚨 ต้องขยับหัวอุปกรณ์เสมอ!
การเคลื่อนหัวอัลตราซาวด์ขณะรักษาเป็น วิธีที่ปลอดภัยและได้ผลดีที่สุด
เพราะ:
คลื่นอัลตราซาวด์มี ความไม่สม่ำเสมอของพลังงาน (Beam Nonuniformity) → จุดกึ่งกลางของหัวให้พลังงานสูงกว่าขอบ
ถ้า ไม่ขยับหัว → พลังงานจะกระจุกตัว → เกิด “Hot Spot” → อาจทำให้เกิด ความร้อนเฉพาะที่แบบเจ็บแสบ หรือ บาดเจ็บเนื้อเยื่อ
การขยับหัวช่วยกระจายพลังงานสม่ำเสมอ และลดการเกิด Standing Waves (คลื่นนิ่งสะท้อนกลับซ้อนกัน)
✅ ควรเคลื่อนหัวอย่างนุ่มนวล เป็น วงกลมซ้อนกัน หรือ แนวยาวไป-กลับ
✅ ควรครอบคลุมพื้นที่รักษา 1.5–2 เท่าของขนาด ERA ของหัวอุปกรณ์
✅ การขยับเร็วขึ้นเล็กน้อยก็ได้ ตราบใดที่ยังสัมผัสผิวแน่นและมีเจลเคลือบต่อเนื่อง
🧴 การใช้เจลสัมผัสโดยตรง (Direct Contact Coupling)
ทำไมต้องใช้เจล?
คลื่น US ไม่สามารถผ่านอากาศได้ดี → ต้องมีตัวกลางนำเสียง เช่น เจลชนิดละลายน้ำ
เจลช่วย กำจัดฟองอากาศ ระหว่างหัวอุปกรณ์กับผิวหนัง
ถ้ามีฟองอากาศ → พลังงานจะสะท้อน 100% และอาจ ทำให้หัวอุปกรณ์ร้อนเสียหาย
⚠️ หากหัวไม่สัมผัสดี → พลังงานที่ปล่อยออกจะ สูญเปล่า และเกิดการสะท้อนอันตราย
คำแนะนำ:
ใช้หัวที่ พอดีกับขนาดพื้นที่รักษา → เลี่ยงการใช้หัวใหญ่กับพื้นที่เล็ก เช่น ข้อเท้า, ข้อศอก
บริเวณกระดูกนูน → ใช้หัวขนาดเล็กดีกว่า
ใช้เจลคุณภาพดี เช่น เจลเฉพาะทาง, โลชั่นสูตรอัลตราซาวด์, เจลฆ่าเชื้อ (สำหรับแผลเปิด)
💧 วิธีทางอ้อม (Indirect Coupling Methods)
1. 🔹 Water Immersion (แช่น้ำ)
ใช้เมื่อ: ผิวมีรูปร่างซับซ้อน (เช่น นิ้ว), หรือเจ็บเกินไปเมื่อลูบตรงๆ
มือหรือเท้าแช่ในกะละมังพลาสติก, หัว US อยู่ห่าง 1–2 ซม. ในน้ำ
ข้อเสีย:
มีฟองอากาศ → ต้องเช็ดออกตลอดเวลา
จากงานวิจัย: ความร้อนในเนื้อเยื่อ ลดลง 40–60% เทียบกับการใช้เจล
พลังงานเข้าสู่เนื้อเยื่อน้อยกว่าเพียง ~32% เมื่อเทียบกับ direct contact
👉 ถ้าใช้ immersion → ต้องเพิ่มความเข้มขึ้น เพื่อให้ได้ผลเท่าการใช้เจล
👉 ถ้าศึกษาจากงานที่ใช้ immersion แต่ใช้ direct contact → ต้อง ลดความเข้มลง
2. 🔹 Gel Pad / Bladder Methods
ใช้เจลแพด, ถุงมือยาง/ถุงยางใส่น้ำหรือเจล รองระหว่างหัวกับผิว
เจลแพด (2 cm หนา, 9 cm กว้าง) → เป็นตัวกลางยอดนิยมในปัจจุบัน
✅ จากงานวิจัย:
ถุงมือใส่น้ำ → ส่งผ่านได้ 66%
ถุงมือใส่เจล → 50%
ถุงยางใส่เจล → ต่ำกว่า
เจลแพด + ทาเจล 2 ข้าง → ให้พลังงานเข้าเนื้อเยื่อได้ดีที่สุดในกลุ่มทางอ้อม
✅ การทดลองในคนพบว่า direct contact และ gel pad ให้ผล ใกล้เคียงกัน ในการเพิ่มอุณหภูมิกล้ามเนื้อ
📌 สรุปแนวทางการเลือกวิธีการใช้ US
สถานการณ์ | วิธีที่แนะนำ |
---|---|
พื้นที่ราบเรียบ มีเจลครบ | ✅ Direct contact (ดีที่สุด) |
ผิวเล็ก-นูน เช่น ข้อเท้า, ข้อนิ้ว | ✅ Direct contact ด้วย หัวขนาดเล็ก |
ผิวผิดรูป / ผิวเจ็บสัมผัสไม่ได้ | ⚠️ ใช้ Gel pad (ดีกว่า immersion) |
นิ้ว-เท้า / ต้องการไม่สัมผัสเลย | ❗ Water immersion (แต่ลดประสิทธิภาพมาก) |
🟨 Key Point!
ใช้ Direct contact เมื่อเป็นไปได้
หากใช้วิธีอื่น ต้อง ปรับความเข้มให้เหมาะสม กับประสิทธิภาพการส่งผ่านของแต่ละวิธี
REFERNCE
Therapeutic Ultrasound
SusanL.Michlovitz,PT,PhD,CHT | KarenJ.Sparrow,PT,PhD
จากหนังสือ Modalities for Therapeutic Intervention