ASTAR Impactis M+

ใบอนุญาตโฆษณาเลขที่: xxx

เครื่องให้การรักษาด้วยคลื่นกระแทก

เครื่องให้การรักษาด้วยคลื่นกระแทก Impactis M+ เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ใช้แพลตฟอร์มไมโครโปรเซสเซอร์ ตัวเครื่องประกอบด้วยโครงสร้างระบบนิวเมติกส์ แบบปั้มลมขนาด 5 Bars 

ข้อบ่งใช้


โปรดอ่านคำเตือนในฉลากและเอกสารกำกับเครื่องมือแพทย์ก่อนใช้

  • อุปกรณ์นี้ใช้สำหรับผู้ป่วยที่เป็นผู้ใหญ่และมีสติสัมปชัญญะเท่านั้น
  • ห้ามให้ผู้ป่วยทำการรักษาด้วยตัวเอง
  • ห้ามปล่อยให้ผู้ป่วยอยู่ตามลำพังระหว่างทำการรักษา
  • ก่อนทำการรักษา ควรตรวจสอบว่าผู้ป่วยไม่มีข้อห้ามในการรักษา แนะนำให้ทำการตรวจวินิจฉัย      (เช่น อัลตราซาวนด์, เอกซเรย์คอมพิวเตอร์, MRI) เพื่อให้ได้การวินิจฉัยที่ถูกต้อง
  • ผู้ที่มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ฝังในร่างกาย (เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจ, เครื่องกระตุ้นเส้นประสาทไขสันหลัง) หรือมีโลหะฝังในร่างกาย ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการรักษา
  • ค่าพารามิเตอร์การรักษาควรเป็นไปตามข้อบ่งชี้ทางการแพทย์
  • ควรใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของการรับความรู้สึกที่ผิวหนัง
  • ผู้ป่วยที่มีปัญหาทางเดินหายใจหรือหายใจลำบาก ควรอยู่ในท่านั่งหรือท่านอนเอน
  • การรักษาอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระดับความไวต่อความรู้สึกที่บริเวณที่ทำการรักษา
  • คลื่นแรงดันอาจส่งผลต่อการทำงานของหัวใจ
  • ควรใช้เจลนำคลื่นเสียงสำหรับอุปกรณ์อัลตราซาวนด์ เจลที่ใช้ควรเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีเครื่องหมายรับรองมาตรฐาน (CE ในสหภาพยุโรป) หลีกเลี่ยงการใช้เจลที่ไม่มีแหล่งที่มาชัดเจน
  • ห้ามใช้กับสตรีมีครรภ์
  • ไม่แนะนำให้ทำการรักษาบริเวณสมอง, หน้าอกและปอด, ไขสันหลัง, จุดรวมของเส้นประสาทขนาดใหญ่ (กะโหลก, กระดูกสันหลัง, ซี่โครง), เส้นประสาทส่วนปลาย, หลอดเลือด หรือบริเวณที่มีสิ่งแปลกปลอมฝังอยู่ (เช่น ข้อเทียม, รากฟันเทียม)
  • ห้ามทำการรักษากับผู้ป่วยที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของแอลกอฮอล์หรือสารเสพติด
  • ผู้ป่วยควรได้รับข้อมูลเกี่ยวกับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ อาการปวดระหว่างหรือหลังการรักษา, รอยแดง, ห้อเลือด, ฟกช้ำ, บวมเฉพาะจุด, อาการชาบางส่วน, อาการเสียวซ่า, เวียนศีรษะ, คลื่นไส้, ภาวะหัวใจทำงานผิดปกติ, การบาดเจ็บของผิวหนังหลังจากได้รับการรักษาด้วยสเตียรอยด์ โดยเฉพาะเมื่อใช้พลังงานสูง (> 0.60 mJ/mm²)
  • ขณะทำการรักษา ควรให้ความสำคัญกับระดับความเจ็บปวดของผู้ป่วย และปรับตั้งค่าพลังงานให้เหมาะสมกับความรู้สึกของผู้ป่วย
  • ควรมีการบันทึกข้อมูลการรักษา เช่น พารามิเตอร์การรักษา, ตำแหน่งที่ทำการรักษา, เทคนิคการรักษา, ปริมาณพลังงาน และอาการของผู้ป่วยหลังการรักษา
  • ควรกำหนดช่วงเวลาที่เหมาะสมระหว่างการรักษาแต่ละครั้ง เพื่อลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน
  • หัวอุปกรณ์ควรใช้เฉพาะระหว่างการรักษาเท่านั้น หากเปิดใช้งานโดยไม่สัมผัสกับร่างกาย อุณหภูมิของตัวส่งพลังงานอาจสูงกว่า 41°C และหากเกิน 51°C อาจทำให้เกิดอันตรายได้ หากเกิดกรณีนี้ ควรรอให้ตัวส่งพลังงานเย็นลงก่อนทำการรักษาต่อไป (แนะนำให้รออย่างน้อย 30 นาที) หรือเปลี่ยนตัวส่งพลังงานก่อนเริ่มการรักษาครั้งถัดไป