Visual Analogue Scale (VAS)

April 18, 2025

Visual Analogue Scale (VAS)  เป็นหนึ่งในเครื่องมือวัดระดับความปวดที่ถูกนำมาใช้ครั้งแรกในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 มักถูกใช้ในการวิจัยทางระบาดวิทยาและคลินิกเพื่อวัดความรุนแรงหรือความถี่ของอาการต่าง ๆ เช่น ระดับความปวดที่ผู้ป่วยรู้สึก ซึ่งอาจมีตั้งแต่ไม่มีเลยจนถึงปวดรุนแรงมาก จากมุมมองของผู้ป่วย ความปวดนั้นมีลักษณะต่อเนื่อง ไม่ได้แบ่งเป็นช่วงอย่างชัดเจนเหมือนกับการจัดระดับแบบ “ไม่ปวด”, “ปวดเล็กน้อย”, “ปวดปานกลาง” หรือ “ปวดมาก” ดังนั้น VAS จึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อสะท้อนแนวคิดของความต่อเนื่องนี้

images 5 Prapatsorn Medical เครื่องมือกายภาพบำบัด และตรวจปอด

วัตถุประสงค์การตรวจ

VAS สำหรับวัดความปวดเป็นเครื่องมือวัดเชิงเดียวที่ใช้วัดความรุนแรงของความปวด โดยสามารถใช้ติดตามอาการของผู้ป่วยในระยะเวลา หรือเปรียบเทียบระดับความปวดระหว่างผู้ป่วยที่มีภาวะคล้ายกัน VAS ได้รับการใช้อย่างแพร่หลายในกลุ่มผู้ใหญ่ที่มีภาวะต่าง ๆ เช่น โรครูมาติซึม อาการปวดเรื้อรัง มะเร็ง หรือโรคภูมิแพ้ทางจมูก นอกจากนี้ VAS ยังสามารถใช้ประเมินอารมณ์ ความอยากอาหาร โรคหืด อาการอาหารไม่ย่อย และความสามารถในการเคลื่อนไหว และยังถือเป็นเครื่องมือที่เรียบง่าย มีความน่าเชื่อถือ และมีประสิทธิภาพในการประเมินการควบคุมโรค

โครงสร้าง ทิศทาง และรูปแบบการตอบ

ตัวอย่างแบบสอบถามแบบ Likert scale

Visual Analogue Scale (VAS) หรือ มาตรวัดแบบเส้นตรง สามารถนำเสนอได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ได้จำกัดแค่เส้นตรงธรรมดาเท่านั้น ตัวอย่างของรูปแบบที่นิยมใช้ มีดังนี้:

  • มาตราส่วนแบบตัวเลข: มีการใส่ตัวเลขกำกับ หรือมีจุดกึ่งกลาง พร้อมช่วงการแบ่งระดับ ทำให้ผู้ตอบเลือกคะแนนตามความรู้สึกได้ชัดเจน

  • มาตราส่วนแบบโค้ง หรือรูปทรงคล้ายมาตรวัด: ออกแบบให้ดูเหมือนหน้าปัดมิเตอร์ เพื่อเพิ่มความเข้าใจโดยภาพ

  • Box-scales: ใช้สัญลักษณ์รูปวงกลมเรียงห่างกันเท่า ๆ กัน ให้ผู้ตอบเลือกวงกลมที่ตรงกับความรู้สึกของตนมากที่สุด

  • มาตราส่วนแบบกราฟิก หรือ Likert scale: มีข้อความกำกับเป็นช่วง ๆ ตลอดเส้น เช่น “ไม่ปวดเลย” ไปจนถึง “ปวดมากที่สุด” เพื่อช่วยให้ผู้ตอบตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

รูปแบบที่เรียบง่ายที่สุดของ VAS คือ เส้นตรงแนวนอนความยาว 100 มิลลิเมตร โดยปลายทั้งสองด้านจะเป็นคำอธิบายที่ชัดเจน เช่น “ไม่ปวดเลย” ที่ด้านซ้าย และ “ปวดที่สุดเท่าที่เคยรู้สึก” ที่ด้านขวา ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยสามารถขีดเลือกตามระดับความปวดที่รู้สึกได้แบบต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ในบางการศึกษา อาจมีการวางเส้นจากขวาไปซ้าย หรือใช้เป็นเส้นแนวตั้งแทน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความถนัดของผู้วิจัยหรือกลุ่มตัวอย่างเป้าหมาย

มีการสำรวจในกลุ่มตัวอย่าง 100 คน พบว่าไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างการใช้ VAS แบบแนวตั้งหรือแนวนอน แต่ก็มีนักวิจัยบางคนตั้งข้อสังเกตว่า มุมมองของผู้ตอบอาจเปลี่ยนไปตามทิศทางของเส้น เช่น แนวนอนอาจมองง่ายกว่าในบางกรณี

นอกจากนี้ ยังมีการกล่าวถึงประเด็นว่า คำที่ใช้กำกับปลายเส้น (anchor terms) มีผลต่อการรับรู้ของผู้ตอบ ดังนั้นการเลือกถ้อยคำจึงควรชัดเจน สื่อความหมายตรง และเข้าใจง่าย เพื่อให้ผลการประเมินแม่นยำที่สุด

การให้คะแนนและการตีความ

การให้คะแนนของ Visual Analogue Scale (VAS) ทำโดยใช้ไม้บรรทัดวัดระยะจากจุดเริ่มต้นที่ระบุว่า “ไม่ปวดเลย” ไปจนถึงตำแหน่งที่ผู้ป่วยทำเครื่องหมายบนเส้นความยาว 10 เซนติเมตร โดยวัดเป็นหน่วยมิลลิเมตร ทำให้ได้คะแนนในช่วง 0–100 โดยคะแนนยิ่งสูง แสดงถึงความปวดที่รุนแรงยิ่งขึ้น

จากการศึกษาผู้ป่วยหลังการผ่าตัด เช่น ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า ผ่าตัดมดลูก หรือผ่าตัดเนื้องอกมดลูกผ่านกล้อง มีการแนะนำช่วงคะแนนของระดับความปวดไว้ดังนี้:

  • ไม่ปวดเลย: 0–4 มม.

  • ปวดเล็กน้อย: 5–44 มม.

  • ปวดปานกลาง: 45–74 มม.

  • ปวดมาก: 75–100 มม.

ไม่มีค่ามาตรฐานปกติ (normative values) ที่กำหนดไว้สำหรับ VAS อย่างชัดเจน
สิ่งสำคัญคือ ผู้ป่วยต้องได้เห็นตัวแบบสอบถามด้วยตนเอง มิฉะนั้นมันจะกลายเป็นแบบสอบถามที่เป็นการฟัง (auditory) ไม่ใช่แบบประเมินด้วยการมองเห็น (visual) อย่างที่ออกแบบไว้

การศึกษาล่าสุดแนะนำว่า แบบสอบถาม VAS ที่ได้ผลดีที่สุดควรเป็น เส้นแนวนอนสีดำ ความยาว 8 เซนติเมตร ความกว้าง 3 DTP (desktop publishing point) ปลายเส้นเรียบทั้งสองด้าน และมีตัวเลขกำกับ “0” และ “10” เป็นจุดเริ่มและจุดสิ้นสุด


ข้อดีและข้อจำกัดของ VAS

ข้อดี

  • VAS มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของอาการมากกว่าแบบประเมินที่ใช้ข้อความเช่น “ปวดน้อย”, “ปวดปานกลาง”, หรือ “ปวดมาก”

  • เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการติดตามอาการในผู้ป่วยรายบุคคล

  • ใช้เวลาน้อยมากในการทำแบบสอบถาม (น้อยกว่า 1 นาที)

  • ใช้ง่ายและสามารถใช้ร่วมกับการรักษาทั่วไปได้

  • ไม่ต้องมีการฝึกอบรมพิเศษในการใช้ เพียงแค่ใช้ไม้บรรทัดวัดระยะเท่านั้น

  • การแปลข้ามภาษาไม่ซับซ้อน จึงมีการนำไปปรับใช้ในวัฒนธรรมที่หลากหลาย

  • ข้อมูลที่ได้จาก VAS สามารถแปลงเป็นข้อมูลระดับช่วง (interval scale) ได้ ทำให้สามารถใช้วิเคราะห์ทางสถิติได้ยืดหยุ่นมากขึ้น

ข้อจำกัด

  • การประเมินเป็นแบบ subjective และอาจแปรผันตามความรู้สึกของแต่ละบุคคล

  • ไม่เหมาะสำหรับการเปรียบเทียบระหว่างบุคคลในช่วงเวลาเดียวกัน

  • มีข้อโต้แย้งว่า VAS พยายามแปลงค่าความรู้สึก (ที่เป็นลำดับ) ให้เป็นค่าตัวเลขเชิงช่วง/อัตราส่วน ซึ่งอาจไม่แม่นยำ

  • แบบประเมินนี้ต้องใช้กระดาษและปากกาหรือเวอร์ชันดิจิทัล ไม่สามารถใช้แบบพูดผ่านโทรศัพท์หรือการสัมภาษณ์ด้วยเสียงได้

  • ควรระมัดระวังในการถ่ายเอกสารแบบประเมิน เพราะอาจทำให้ความยาวของเส้นเปลี่ยนไป และในผู้ป่วยรายเดียวกันควรใช้แบบฟอร์มที่มีการจัดวางเหมือนกันเสมอเพื่อความสม่ำเสมอของผลการวัด

 

บทความแปล จาก Physiopedia
https://www.physio-pedia.com/Visual_Analogue_Scale

Related Posts

Parkinson’s gait: A case study

April 24, 2025
การเดินในผู้ป่วยพาร์กินสัน (Parkinson’s gait: A case study) โรคพาร์กินสันเผยให้เห็นรูปแบบการเดินที่เป็นเอกลักษณ์ที่เรียกว่า "Festinating Gait" ซึ่งเป็นรูปแบบการเดินที่ผิดปกติ โดยสามารถสังเกตเห็นก้าวเดินที่สั้นและช้า รวมถึงการเดินที่ช้าโดยมีลักษณะการเคลื่อนไหวที่ช้า (bradykinesia) หรือแม้กระทั่งการสูญเสียการเคลื่อนไหวโดยสิ้นเชิง (akinesia)

60% stance phase – 40% swing may not always be “normal”?

April 24, 2025
การเข้าใจพารามิเตอร์เชิงเวลาเป็นสิ่งสำคัญในการศึกษารูปแบบการเดิน เพราะมันช่วยให้เราสามารถสังเกตและระบุความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม, สิ่งนี้จะสะท้อนถึงวงจรการเดินที่สมบูรณ์แบบเสมอไปหรือไม่?

Gait patterns in women with high heel shoes

April 24, 2025
พารามิเตอร์เชิงเวลา (Temporal Parameters) เวลาในช่วง Swing phase สั้นลง ความยาวก้าวสั้นลง เวลาในการรับน้ำหนักด้วยสองขาสูงขึ้น พารามิเตอร์พื้นที่ (Spatial Parameters)