What is PMS Ep.3

MST 1001 Prapatsorn Medical เครื่องมือกายภาพบำบัด และตรวจปอด

หลักการทำงานของคลื่น PMS หลักการทำงานของ Peripheral Magnetic Stimulation (PMS) เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีการรักษาด้วยการกระตุ้นด้วยสนามแม่เหล็ก (Magnetic field) ที่ใช้เพื่อกระตุ้นระบบประสาทภายในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบประสาทส่วนปลาย (Peripheral Nervous System) ซึ่งเป็นเส้นใยประสาทที่อยู่นอกส่วนของสมองและกระดูกสันหลัง โดยหลักการทำงานของเครื่อง PMS มาจากหลักการของกฎวงจรของแอมแปร (Ampere’s circuital law) เป็นหนึ่งในกฎของฟิสิกส์ที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กที่เกิดขึ้นรอบตัวนำไฟฟ้า กฎนี้ได้รับชื่อจากนักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศสชื่อ “อันดรีแอมแปร” (André-Marie Ampère) ผู้ที่ค้นพบและศึกษาเกี่ยวกับกระแสไฟฟ้าในคริสตัลเทนส์ในช่วงต้นของศตวรรษที่ 19 และเป็นหนึ่งในหลักการที่สำคัญในฟิสิกส์ที่เกี่ยวข้องกับกระแสไฟฟ้าและสนามแม่เหล็ก ซึ่งกล่าวว่า เมื่อกระแสไฟฟ้าที่ผ่านตัวนำจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กรอบๆตัวนำไฟฟ้า โดยสนามแม่เหล็กที่เกิดขึ้นนี้ก็จะสามารถสร้างกระแสไฟฟ้าไปยังวงจรอื่นๆในระบบได้ต่อไปอีก และจะเกิดการสร้างสนามแม่เหล็กและกระแสไฟฟ้าซ้ำไปซ้ำมาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจากหลักการดังกล่าวตัวเครื่อง PMS มีหน้าที่ในการสร้างกระแสไฟฟ้ากำลังสูงส่งไปยังตัวนำไฟฟ้าภายในหัวส่งคลื่น โดยตัวนำไฟฟ้าภายในหัวส่งคลื่นจะวางตัวเป็นขด (coil) หรือทรงกลมอยู่ภายใน ซึ่งจะทำให้เกิดสนามแม่เหล็กที่มีพลังงานสูงมากกว่าตัวนำแบบเส้นตรงจากการรวมตัวกันของสนามแม่เหล็กที่เกิดขึ้น เมื่อนำไปวางตามแนวเส้นประสาทที่ต้องการ ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าในเนื้อเยื่อและระบบประสาท ซึ่งจะทำให้เกิดการทำงานของเส้นประสาท ส่งสัญญาณไปยังระบบประสาทรับความรู้สึกและการสั่งการทำงานของกล้ามเนื้อจนสามารถเกิดการหดตัวของกล้ามเนื้อได้ ถึงการใช้เครื่อง PMS จะเป็นการส่งคลื่นสนามแม่เหล็กกำลังสูงในระดับที่ทำให้เกิดผลการกระตุ้นในระบบประสาทได้ แต่ไม่ถึงขั้นทำลายเนื้อเยื่อ ทำให้การกระตุ้นนี้ค่อนข้างมีความปลอดภัยในการรักษา แต่อย่างไรก็ตาม การใช้เครื่อง PMS ก็จำเป็นต้องคำนึงถึงการควบคุมความเข้มข้นของกระแสไฟฟ้าให้เหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้และหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในกรณีที่มีอาการป่วยหรือสภาวะที่อาจเกิดความเสี่ยงเพิ่มเติม […]

ปัสสาวะเล็ด (ฉี่เล็ด) เกิดจาก อาการ วิธีแก้

ปัญหาฉี่เล็ด

สาเหตุของฉี่เล็ด สาเหตุหลักของอาการฉี่เล็ดเกิดจากแรงกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อที่ซัพพอร์ทกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะ บริเวณพื้นสะโพกที่อ่อนแรงหรือได้รับการเสียหาย กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อเหล่านี้รับผิดชอบในการควบคุมการปล่อยปัสสาวะและการรักษาความสามารถในการควบคุมระบบปัสสาวะ หากกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อเหล่านี้อ่อนแรงหรือเสียหาย อาจไม่สามารถควบคุมกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะได้อย่างเพียงพอเมื่อมีการกดแรงบนช่องท้องหรือบริเวณพิ้นสะโพก มีหลายปัจจัยที่อาจทำให้กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อในพื้นสะโพกอ่อนแรงหรือเสียหาย ทำให้เกิดฉี่เล็ด: การตั้งครรภ์และการคลอดบุตร: กระบวนการตั้งครรภ์และการคลอดทางช่องคลอดสามารถยืดและทำให้กล้ามเนื้อพื้นสะโพกอ่อนแรงได้ เป็นพิเศษถ้ามีการเกิดแตกร้าวหรือการทำตัดเจาะที่แขนงในขณะที่คลอด การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน: การลดระดับฮอร์โมนอีสโทรเจนระหว่างวัยหมดประจำเดือนอาจทำให้กล้ามเนื้อพื้นสะโพกเสื่อมถอยลงและขาดความยืดหยุ่น ทำให้กล้ามเนื้อพื้นสะโพกมีความอ่อนแรง บุคคลที่มีอายุเพิ่มขึ้น: กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อในร่างกายจะสูญเสียความแข็งแรงและความยืดหยุ่นตามธรรมชาติเมื่อเข้าสู่วัยเกษียณ รวมถึงกล้ามเนื้อพื้นสะโพกด้วย โรคอ้วน: น้ำหนักเกินและการมีแรงกดบนช่องท้องมากขึ้นสามารถทำให้กล้ามเนื้อพื้นสะโพกถูกทำให้ย่อหน้าที่แข็งแรงลดลง การไอเรื้อรัง: สภาวะเจ็บป่วยเรื้อรังเช่นเรื้อรังถุงลมหรือหวัดเรื้อรังที่ทำให้ไออย่างถี่และแรงจะกดกับกล้ามเนื้อพื้นสะโพกอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดปัญหาปัสสาวะเล็ด การผ่าตัดกระดูกเชิงกราน การผ่าตัดในบริเวณสะโพกเช่นการผ่าตัดมดลูกหรือ กระเพาะปัสสาวะ อาจทำให้กล้ามเนื้อพื้นสะโพกเสียหายหรือเสื่อมถอยลงและทำให้เกิดฉี่เล็ด Stress Incontinence ความผิดปกติของท่อปัสสาวะที่มาพร้อมกับภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่อาจเกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งจากสองสาเหตุนี้ ประการแรก ท่อปัสสาวะอาจรองรับได้ไม่ดี ซึ่งเรียกว่า urethral hypermobility ท่อปัสสาวะควรได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งแรงจากอุ้งเชิงกราน ซึ่งประกอบด้วยเส้นเอ็น เส้นเอ็น และกล้ามเนื้อ เพื่อให้ท่อยังคงปิดอยู่ในระหว่างการออกกำลังกาย การไอ และการเบ่ง โครงสร้างเหล่านี้อาจได้รับบาดเจ็บหรืออ่อนแอลงได้จากการคลอดบุตร การผ่าตัดกระดูกเชิงกราน โรคอ้วน การเบ่งบ่อยๆ เป็นเวลานาน และการออกกำลังกายอย่างหนัก เช่น การยกน้ำหนัก จ็อกกิ้ง กระโดด วิ่งระยะไกล และแอโรบิกที่มีแรงกระแทกสูง ท่อปัสสาวะจะหย่อนและเปิดออกเมื่อสัมผัสกับความเครียดหรือการรัด การสูญเสียการรองรับท่อปัสสาวะมักเกี่ยวข้องกับการสูญเสียการรองรับอวัยวะอุ้งเชิงกรานอื่นๆ […]

ประวัติและความเป็นมาของการรักษาด้วยคลื่น PMS

concept human intelligence human brain Prapatsorn Medical เครื่องมือกายภาพบำบัด และตรวจปอด

ประวัติและความเป็นมาของการรักษาด้วยคลื่น PMS การรักษาด้วยคลื่น Peripheral magnetic stimulation ( PMS Therapy ) เป็นเทคนิคการรักษาทางการแพทย์ที่ใช้คลื่นสนามแม่เหล็กแบบพลังงานสูงในการกระตุ้นระบบประสาทส่วนปลาย (Peripheral nervous system)* ของร่างกาย การใช้คลื่นสนามแม่เหล็กในการรักษามีความเป็นมาตั้งแต่ช่วงต้นของศตวรรษที่ 20 โดยการใช้คลื่นสนามแม่เหล็กในการรักษาเบื้องต้นเริ่มต้นด้วยการใช้คลื่นสนามแม่เหล็กแบบคงที่ที่มีพลังงานต่ำ เพื่อช่วยลดอาการปวด อาการอักเสบของเนื้อเยื่อหรือข้อต่อ ซึ่งต่อมาได้เริ่มมีพัฒนาการใช้งานคลื่นสนามแม่เหล็กแบบพลังงานสูงในการกระตุ้นสมอง ที่เรียกว่า Transcranial magnetic stimulation (TMS) ซึ่งสามารถกระตุ้นและยับยั้งการทำงานของสมองส่วนต่างๆได้ จึงนำไปรักษาในส่วนของผู้ป่วยภาวะซึมเศร้า (Depression) และผู้ป่วยที่มีการบาดเจ็บของสมอง เป็นต้น โดยการนำคลื่นสนามแม่เหล็กใช้การกระตุ้นภายนอกในช่วงแรก ใช้เพื่อการศึกษาการนำไฟฟ้าของระบบประสาทส่วนปลาย (Peripheral Nerve conduction) และการประเมินความสามารถของระบบประสาท นักวิจัยใช้คอยล์แม่เหล็กในการสร้างช็อกไฟฟ้าแม่เหล็กแบบสั้นๆ ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นเส้นประสาทแบบช่วง (Pulse)  ที่จะส่งเข้าไปยังเส้นประสาทแบบเฉพาะเจาะจง การกระตุ้นด้วยแม่เหล็กทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าในเส้นประสาท ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถประเมินการตอบสนองของระบบประสาท ความเร็วในการส่งข้อมูลและลักษณะการตอบสนองของระบบประสาทได้ และตามมาด้วยการใช้คลื่นสนามแม่เหล็กแบบพลังงานสูงที่เน้นไปการรักษาระบบประสาทส่วนปลาย ซึ่งการรักษาด้วยคลื่น PMS เป็นเครื่องมือที่สร้างคลื่นสนามแม่เหล็กที่มีความถี่และความเข้มของคลื่นที่เหมาะสมต่อการรักษาส่งไปยังบริเวณที่ต้องการรักษาบริเวณชั้นตื้นและลึกได้เป็นอย่างดี เพื่อกระตุ้นการทำงานของเซลล์ประสาทภายในร่างกาย ซึ่งสามารถใช้ในการรักษาอาการปวด อาการชา การปวดเมื่อยของกล้ามเนื้อ ลดการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ และส่งเสริมการเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เป็นต้น […]

ตัวแทนจำหน่าย เจลอัลตร้าซาวด์ SKYGEL ประจำประเทศไทย

บริษัท ประภัสสร เอ็นจิเนียริ่ง ซัพพลาย จำกัด ได้เซ็นสัญญาเป็นตัวแทนจำหน่าย SKYGEL เจล อัลตร้าซาวด์ทางการแพทย์ ที่ใช้ทั้งในงานกายภาพบำบัด สูตินารีเวช และ EKG ต่างๆ เจลอัลตร้าซาวด์ Skygel จะจัดจำหน่าย Package 5 กิโลกรัม และ แบบขวด 260 กรัม สีใส และสีฟ้า  

New guideline: FeNO เป็นอุปกรณ์จำเป็นในการตรวจหอบหืด

มาตรฐานการดูแลรักษาโรคหอบหืดใหม่จากสมาคมระบบทางเดินหายใจและปอดเยอรมัน (DGP) ได้ออกมาเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2023 แนะนำการวัด FeNO เป็นเครื่องมือสำคัญในการวินิจฉัยและรักษาโรคหอบหืด ข้อมูลสำคัญ: ✅ FeNO เป็นอุปกรณ์ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้สำหรับการวินิจฉัยโรคหอบหืด ✅ FeNO เป็นตัวชี้วัดหลักในอัลกอริทึมการวินิจฉัยโรคหอบหืดเฉพาะเด็ก ✅ FeNO เพิ่มความสำคัญในการควบคุมและคาดการณ์ผลตอบสนองของยา (ICE และบางชนิดของยาชนิดชีวภาพ) ✅ FeNO เป็นวิธีที่แนะนำสำหรับการตรวจสอบความสอดคล้องกับการใช้ยาและการถูกสารสกัดจากสิ่งแพ้ 🔹 FeNO ในการวินิจฉัยโรคหืด สำหรับการวินิจฉัยโรคหืด แนวทางการแนะนำระบุว่า FeNO จำเป็นอย่างยิ่งในการปฏิบัติงานของหมอโรคทางเดินหายใจ เนื่องจากนั้นได้รวมเข้าเป็นส่วนสำคัญของอัลกอริทึมการวินิจฉัยใหม่ ซึ่งกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับผู้ใหญ่จะกำหนด FeNO เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดหลักหลายตัว ในขณะที่การวินิจฉัยโรคหืดในเด็กเกือบทุกครั้งจะต้องวัด FeNO เวอร์ชันแรกของแนวทางการแนะนำได้ถูกเผยแพร่ในปี 2017 และเมื่อนั้น FeNO ได้ถูกกล่าวถึงว่าเป็นส่วนประกอบที่มีคุณค่า ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา วิจัยเรื่องนี้ก็ได้รับความสนใจจากสายวิทยาศาสตร์โดยต่อมาหลักฐานก็ได้ก้าวหน้าไปถึงจุดที่ FeNO ถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการวินิจฉัยโรคหืด 🔹FeNO ในการรักษาโรคหอบหืด 🔹 คำแนะนำดังกล่าวย้ำความสำคัญของ FeNO ในการรักษาโรคหอบหืด ไม่เพียงแค่เพื่อตรวจสอบการปฏิบัติตามกำหนดและการรับมือกับการสัมผัสกับสารภูมิแพ้ แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยควบคุมและทำนายการตอบสนองของยา (ดูกราฟ): กับผู้ป่วยที่มีการวินิจฉัยโรคหอบหืดที่ได้รับการยืนยันและมีค่า FeNO […]

หลักการทำงานของ Peripheral Magnetic Stimulation (PMS) : PMS คือ

What is PMS? Peripheral Magnetic Stimulation (PMS) เป็นเทคนิคการบำบัดที่ใช้คลื่นแม่เหล็กในการกระตุ้นการทำงานของระบบประสาท โดยการใช้สนามแม่เหล็กที่สร้างจากการกระแทกไฟฟ้าเข้ากับคอยล์แม่เหล็ก ที่วางบนผิวหนังบริเวณที่ต้องการรักษา สนามแม่เหล็กนี้จะสร้างกระแสไฟฟ้าในเนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อของบริเวณนั้น ซึ่งสามารถกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทตามแนวประสาทได้ Peripheral Magnetic Stimulation (PMS) สามารถกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทตามแนวประสาทได้โดยตรง และสามารถสร้างกระแสไฟฟ้าในเนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อของบริเวณนั้นได้ด้วยความแรงที่สูงขึ้น ซึ่งสามารถเป็นประโยชน์ในการรักษาอาการปวดหลัง อาการปวดเมื่อยเกี่ยวกับกล้ามเนื้อ และการกู้ฟื้นสมรรถภาพหลังการบาดเจ็บ ลักษณะหลักของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า Electromagnetic Field หรือ ฟิลด์ไฟฟ้าแม่เหล็กเป็นฟิลด์ทางกายภาพที่ถูกสร้างขึ้นโดยอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าซึ่งจะมีแรงกระทำต่ออนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าอื่นๆ ภายในขอบเขตของมัน เป็นแนวคิดพื้นฐานในฟิสิกส์และมีบทบาทสำคัญในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีหลายอย่างคุณลักษณะของ Electromagnetic Field ฟิลด์ไฟฟ้าแม่เหล็กมีหลายอย่าง ได้แก่Strength ความแข็งแรง: ความแข็งแรงของฟิลด์ไฟฟ้าแม่เหล็กจะถูกกำหนดโดยปริมาณประจุไฟฟ้าที่มีอยู่และระยะห่างจากแหล่งกำเนิดของฟิลด์ ความแข็งแรงของฟิลด์จะลดลงเมื่อห่างจากแหล่งกำเนิดDirection ทิศทาง:ทิศทางของฟิลด์ไฟฟ้าแม่เหล็กเป็นแนวตั้งกับทิศทางของฟิลด์ไฟฟ้าและไฟล์แม่เหล็กที่เข้าด้วยกันเพื่อสร้างเป็นฟิลด์ไฟฟ้าแม่เหล็กนั้นเองFrequency ความถี่: ความถี่ของฟิลด์ไฟฟ้าแม่เหล็กคือจำนวนรอบต่อวินาทีของฟิลด์ไฟฟ้าและแม่เหล็ก สิ่งนี้กำหนดความยาวคลื่นของฟิลด์ซึ่งเป็นระยะห่างระหว่างจุดสูงสุดหรือต่ำสุดต่อเนื่องกันPolarization โพลาริเซชันของฟิลด์ไฟฟ้าแม่เหล็กหมายถึงการวางทิศทางของเวกเตอร์ฟิลด์ไฟฟ้าในระนาบที่ตั้งฉากกับทิศทางการกระจายของฟิลด์นั้นๆ ซึ่งเป็นการกำหนดทิศทางของความเข้มของฟิลด์ไฟฟ้าที่สลับกันเรื่อยๆ ในเวลาเดียวกันโดยมีการสลับทิศทางของการสลับนั้นๆ ที่เกิดขึ้นแบบเป็นระยะเวลาเท่าๆ กันSpeed ความเร็ว: ความเร็วของฟิลด์ไฟฟ้าแม่เหล็กเป็นคงที่และเท่ากับความเร็วของแสงในสภาวะว่างเปล่า ซึ่งประมาณ 299,792,458 เมตรต่อวินาทีElectromagnetic Spectrum สเปกตรัมไฟฟ้าแม่เหล็ก: สเปกตรัมไฟฟ้าแม่เหล็กคือช่วงของรังสีไฟฟ้าแม่เหล็กทุกชนิดตั้งแต่คลื่นวิทยุจนถึงแกมมา แต่ละชนิดของรังสีจะมีความถี่และความยาวคลื่นที่แตกต่างกันซึ่งกำหนดคุณสมบัติและการประยุกต์ใช้ของมันแตกต่างกันไป  แล้ว PMS ล่ะ […]

อะไรคือ CPET

CPET หรือ Cardio Pulmonary Exercise Testing หรือการทดสอบฟื้นฟูหัวใจและปอด เป็นการตรวจวัดความสามารถในการออกกำลังกายของผู้ป่วย และประเมินฟังก์ชันของระบบหัวใจและระบบหายใจของพวกเขาในระหว่างการออกกำลังกาย CPET จะให้ข้อมูลมีค่าสำหรับการวินิจฉัยและการจัดการโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจและปอด โรคมะเร็ง และอาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง ในขณะที่ผู้ป่วยทำการทดสอบ CPET พวกเขาจะได้ทำการออกกำลังกายโดยใช้จักรยานหรือลู่วิ่งในระดับความเร็วที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันจะวัดอัตราการใช้ออกซิเจน การสร้างคาร์บอนไดออกไซด์ อัตราการเต้นของหัวใจและพารามิเตอร์สูงวัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพกายและจิตใจของผู้ป่วย ข้อมูลเหล่านี้สามารถใช้ประเมินฟิตเนสของผู้ป่วย จำกัดความสามารถในการออกกำลังกาย และกำหนดความหนักที่เหมาะสมในการฟื้นฟูหรือฝึกซ้อม CPET ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นเครื่องมือที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการประเมินผู้ป่วยที่มีโรคหรืออาการเฉพาะทางต่างๆ CPET ต้องใช้อุปกรณ์และความเชี่ยวชาญที่เฉพาะเจาะจงและอาจไม่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยบางราย ดังนั้นควรใช้ CPET อย่างรอบคอบและเป็นไปตามการประเมินคลินิกอื่นๆ เพื่อให้ได้ผลการดูแลผู้ป่วยที่ดีที่สุด CPET หรือการทดสอบสมรรถภาพการออกกำลังกายปอดและหัวใจมีประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ป่วยและผู้ให้บริการด้านสุขภาพ ได้แก่ การวินิจฉัยอย่างแม่นยำ: CPET ช่วยวินิจฉัยโรคทางการแพทย์หลายชนิดได้เช่นโรคหัวใจและปอด เนื้องอก และอาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง โดยให้ข้อมูลเชิงวัตถุประสงค์เกี่ยวกับความสามารถในการออกกำลังกายและฟังก์ชันทางหัวใจและปอด ที่ช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้ถูกต้องมากขึ้น การสร้างโปรแกรมการออกกำลังกายที่กำหนดเอง: CPET ช่วยในการกำหนดความเข้มของการออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับการฟื้นฟูหรือฝึกฝน ข้อมูลเหล่านี้สามารถนำมาใช้ในการสร้างโปรแกรมการออกกำลังกายที่กำหนดเองที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสำหรับแต่ละผู้ป่วย การติดตามความคืบหน้า: CPET ช่วยในการติดตามความคืบหน้าของผู้ป่วยในระยะยาว โดยวัดการเปลี่ยนแปลงของความสามารถในการออกกำลังกายและฟังก์ชันชีพจรและปอด ที่ช่วยให้แพทย์ตรวจสอบว่าแผนการรักษาของผู้ป่วยกำลังทำงานอย่างไรและปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม ความปลอดภัย: CPET เป็นกระบวนการที่ปลอดภัยเมื่อดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญ […]

เครื่องมือรักษาทางกายภาพบำบัดมีอะไรบ้าง

ULTRASOUND THERAPY การรักษาด้วยอัลตร้าซาวด์ Ultrasound therapy เป็นการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บหรืออาการอื่นๆที่เกี่ยวกับกล้ามเนื้อและข้อต่อ วิธีการนี้ใช้เครื่องมือที่ส่งออกคลื่นเสียงที่มีความถี่สูงกว่าที่หูมนุษย์จะได้ยิน (ประมาณ 1-3 MHz) เพื่อส่งเสียงไปยังพื้นผิวของร่างกาย คลื่นเสียงที่ส่งออกจะกระตุ้นการแก้ปัญหาด้านกล้ามเนื้อและข้อต่อโดยการกระตุ้นเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆในพื้นผิว ทำให้เกิดผลกระตุ้นกระบวนการแพทย์ในร่างกาย เช่น การเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและน้ำเลือด ลดการบวม และช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อและเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรงขึ้น Ultrasound therapy สามารถใช้รักษาอาการบาดเจ็บหลายประเภทได้ เช่น อาการแขนหรือขาบวม อาการปวดเมื่อยของกล้ามเนื้อ อาการเจ็บและแข็งตึงของข้อต่อ และอาการปวดเมื่อยที่เกิดจากการออกกำลังกายหรือกิจกรรมที่เกี่ยวกับกล้ามเนื้อและข้อต่อในช่วงเวลานานๆ ยังไงก็ตาม การใช้ ultrasound therapy ควรมีการปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินสถานะและจัดการรักษาให้เหมาะสมกับแต่ละผู้ป่วย ELECTROTHERAPY การกระตุ้นไฟฟ้า Electrotherapy เป็นเทคนิคการรักษาที่ใช้กระแสไฟฟ้าเพื่อช่วยรักษาอาการบาดเจ็บหรืออาการทางกล้ามเนื้อ โดยใช้เครื่องมือที่ส่งกระแสไฟฟ้าไปยังบริเวณที่มีอาการเจ็บปวดหรือเสียดทางกล้ามเนื้อ Electrotherapy สามารถใช้รักษาอาการทางกล้ามเนื้อหลายๆ อย่าง เช่น อาการปวดหลัง อาการปวดเมื่อยของกล้ามเนื้อ อาการตึงตัวของกล้ามเนื้อ อาการบวมและอักเสบ อาการชาตามแขนขา และอาการเจ็บปวดของข้อต่อ การใช้ Electrotherapy สามารถช่วยกระตุ้นกระบวนการฟื้นฟูและเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในพื้นผิว นอกจากนี้ Electrotherapy ยังสามารถช่วยลดการอักเสบ บรรเทาอาการปวด และช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อและเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรงขึ้น การใช้ Electrotherapy […]

เตียง กายภาพบำบัด มีกี่แบบ

เตียงกายภาพบำบัดเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการฝึกฟิตเนสและบำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพของร่างกาย โดยมีหลายแบบขึ้นอยู่กับการใช้งานและเป้าหมายการใช้งาน แต่ละแบบจะมีความแตกต่างกันตามลักษณะการใช้งานและประเภทของการบำบัด ดังนี้ เตียงกายภาพบำบัดแบบปกติ (Standard Physical Therapy Bed) เป็นเตียงที่ใช้กันทั่วไปในการฝึกฟิตเนสและบำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพของร่างกาย เตียงที่นิยมใช้งานในประเทศไทยจะเป็นเตียงไม้กายภาพบำบัด (Wooden Physical Therapy Bed) เป็นเตียงที่ทำจากไม้และมีรูปทรงเป็นพิเศษเพื่อให้สะดวกต่อการใช้งานและการบำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพของร่างกาย มีทั้งแบบเตียงสูง และเตียงเตี้ย  โดยลักษณะของเตียงไม้กายภาพบำบัดมีลักษณะเดียวกับเตียงนวดไทย ซึ่งจำหน่ายกันอย่างแพร่หลาย เตียงไม้กายภาพบำบัดมักถูกใช้ในการบำบัดฟื้นฟูของผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บปวดหรือการบริหารกล้ามเนื้อเพื่อเพิ่มความแข็งแรง อีกทั้งยังมีความเหมาะสมสำหรับการใช้งานในคลินิกกายภาพบำบัดหรือสถานที่ที่มีพื้นที่จำกัด และราคาไม่สูงมากเมื่อเทียบกับเตียงกายภาพบำบัดแบบอื่น ๆ ที่ใช้เทคโนโลยีสูงขึ้น แต่ก็ยังคงมีความสำคัญและความช่วยเหลือในการบำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพของร่างกายอย่างมาก เตียงพับกายภาพบำบัด (Folding Physical Therapy Bed) เป็นเตียงที่มีลักษณะพับเก็บได้ ใช้ในการบำบัดโรคหรืออาการบาดเจ็บของผู้ป่วยในโรงพยาบาล หรือใช้ในการทำกายภาพบำบัดในที่สะดวกสบายในบ้านหรือที่ทำงานได้ตามต้องการ โดยเตียงประกอบด้วยโครงสร้างที่ทำจากโลหะ และมีผ้าหุ้มที่เหมาะสมในการนอนหรือนั่ง เตียงพับกายภาพบำบัดมีขนาดที่สามารถพับเก็บได้ในพื้นที่จำกัด ทำให้ง่ายต่อการเก็บรักษาหรือเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่ต่างๆ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีช่วงเวลาว่างน้อยหรือมีพื้นที่จำกัดในการเก็บเครื่องอุปกรณ์การบำบัดโรค การใช้เตียงพับกายภาพบำบัดสามารถช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงการบำบัดได้ง่ายและสะดวกขึ้น และช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอันตรายจากการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยด้วย เตียงกายภาพบำบัดแบบไฟฟ้า (Electric Physical Therapy Bed) เตียงไฟฟ้า กายภาพบำบัด คือเตียงที่มีการใช้ไฟฟ้าในการควบคุมการเคลื่อนไหวของเตียง เช่น การปรับความสูงของเตียง การยกหรือลดส่วนบนของเตียง และการปรับเอียงเตียงได้อย่างอิสระ การใช้เตียงไฟฟ้าในกายภาพบำบัดมีความสะดวกและประสิทธิภาพสูง เนื่องจากสามารถปรับเปลี่ยนตำแหน่งของผู้ป่วยได้ตามความต้องการของผู้บริหารการรักษาโรค […]

เสมหะเหนียวติดคอ วิธีแก้

What Is AirPhysio Prapatsorn Medical เครื่องมือกายภาพบำบัด และตรวจปอด

การเสมหะเหนียวติดคอสามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีง่ายๆ ดังนี้ ดื่มน้ำมากๆ: การดื่มน้ำมากๆ จะช่วยให้เสมหะนำตัวออกไปจากคอได้ง่ายขึ้น โดยควรดื่มน้ำอย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวัน และลองดื่มน้ำอุ่นๆ หรือน้ำผึ้งผสมน้ำมะนาวเพื่อช่วยผลักเสมหะออกไปจากคอ หยุดสูบบุหรี่หรือการใช้ยาเสพติด: การสูบบุหรี่หรือใช้ยาเสพติดอาจทำให้เสมหะสะสมอยู่ในทางเดินหายใจ ดังนั้นควรหยุดใช้ยาเสพติดหรือสูบบุหรี่ในช่วงที่มีเสมหะเยอะ ทานอาหารที่มีสารสกัดจากพืช: อาหารที่มีสารสกัดจากพืช เช่น ขิง, หมาก, ตะไคร้ สามารถช่วยละลายเสมหะได้ โดยนำมาต้มกับน้ำ แล้วใช้คั้นเอาน้ำมาดื่ม ใช้น้ำเกลือ: การผสมน้ำเกลือกับน้ำอุ่นแล้วแช่ปากไว้ โดยใช้น้ำเกลือ 1 ช้อนชาผสมกับน้ำอุ่น 1 แก้ว จะช่วยให้เสมหะลอยขึ้นมาจากคอและลำคอได้ การล้างจมูก: การสอดน้ำเกลือลงไปในจมูกจะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและช่วยให้เสมหะลอยขึ้นมาได้ง่ายขึ้น กินยาละลายเสมหะ สำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาทางเดินหายใจ สามารถใช้อุปกรณ์ OPEP: ซึ่งย่อมาจาก Oscillating Positive Expiratory Pressure ซึ่งเป็นเครื่องมือช่วยการหายใจที่ใช้ในการช่วยบริหารปัญหาการหายใจของผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ เช่น โรคถุงลมโป่งพอง (COPD) หรือภาวะซีดของเส้นเลือดปอด (pulmonary atelectasis)  โดย OPEP จะใช้แรงกดออกของลมหายใจเพื่อสร้างคลื่นสั่นในท่อลมหายใจ และช่วยล้างเสมหะและของเสียในทางเดินหายใจออกไปโดยไม่ต้องใช้แรงขับลมหายใจ ส่วนใหญ่ OPEP จะมีรูปแบบเป็นท่อพลาสติกที่มีลูกบอลหรืออุปกรณ์ที่สามารถปรับความต้านทานได้ […]