Prosthetic Gait Deviations : Types, Causes and Analysis

April 18, 2025

ค่าเบี่ยงเบนการเดินของผู้ที่ใส่ขาเทียม: ประเภท สาเหตุ และการวิเคราะห์

Prosthetic Gait Deviations : Types, Causes and Analysis

ตามข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) มีการประมาณว่า ประชากรโลกประมาณ 0.5% หรือราว 40 ล้านคน จำเป็นต้องใช้อวัยวะเทียม เช่น ขาเทียม ข้อมูลนี้สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นอย่างยิ่งในระดับโลกที่เราต้องมีอุปกรณ์ขาเทียมที่มีประสิทธิภาพ พร้อมกับความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับรูปแบบการเดินของผู้ที่ใช้อวัยวะเทียม เพื่อให้พวกเขากลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมั่นคงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

อุปกรณ์ขาเทียมหรืออวัยวะเทียม (Prosthetic devices) คืออวัยวะเทียมที่ถูกออกแบบมาเพื่อทดแทนอวัยวะที่สูญเสียไป ซึ่งอาจเกิดจากการตัดอวัยวะด้วยสาเหตุต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน ภาวะเส้นประสาทเสื่อม โรคหลอดเลือด หรืออุบัติเหตุ รวมถึงกรณีที่ไม่มีอวัยวะมาแต่กำเนิด จุดมุ่งหมายหลักของอุปกรณ์เทียมเหล่านี้ คือการฟื้นฟูการทำงานของร่างกายและช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ใช้งาน โดยช่วยให้สามารถดำเนินกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้สะดวกและเป็นอิสระมากยิ่งขึ้น

ประเภททั่วไปของขาเทียมส่วนล่าง (Lower Limb Prosthesis)

Below Knee Prapatsorn Medical เครื่องมือกายภาพบำบัด และตรวจปอด

ขาเทียมประเภททรานสเบียน (ใต้เข่า) Transtibial Prostheses

ใช้ทดแทนขาส่วนล่าง รวมถึงเท้าและข้อเท้าใต้เข่า อุปกรณ์นี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเดิน วิ่ง และทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้ตามปกติ

Above Knee Prapatsorn Medical เครื่องมือกายภาพบำบัด และตรวจปอด

ขาเทียมประเภททรานสเฟมอรัล (เหนือเข่า) Transfemoral Prosthesis

ใช้ทดแทนขาทั้งหมดที่อยู่เหนือเข่า รวมถึงข้อต่อเข่า อุปกรณ์เหล่านี้มีความซับซ้อนมากขึ้น เนื่องจากต้องการจำลองการเคลื่อนไหวของข้อต่อเข่า

ส่วนประกอบสำคัญของอุปกรณ์ขาเทียม (Key Components of Prosthetic Devices)

Prosthetic Devices Prapatsorn Medical เครื่องมือกายภาพบำบัด และตรวจปอด

1.ระบบยึดติด (Suspension System)

ทำหน้าที่ยึดขาเทียมให้ติดกับร่างกายอย่างมั่นคง โดยอาจประกอบด้วยสายรัด ระบบสุญญากาศ หรือกลไกล็อกต่าง ๆ

2.เบ้าขาเทียม (Socket)

ส่วนที่สวมเข้ากับขาที่เหลืออยู่ (stump หรือ residual limb) เพื่อให้เกิดการเชื่อมต่อที่แน่นหนาและสวมใส่ได้อย่างสบาย

3.ข้อเข่าขาเทียม (Prosthetic Knee Joint)

ข้อต่อเข่าในขาเทียมทำหน้าที่เลียนแบบการเคลื่อนไหวของข้อเข่าธรรมชาติ ช่วยให้สามารถงอและเหยียดขาได้ ข้อเข่าขาเทียมรุ่นที่ทันสมัยสามารถรองรับการเคลื่อนไหวที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น การหมุนและการทรงตัวระหว่างเดิน

4.แกนกลางขาเทียม (Pylon)

ทำหน้าที่เป็น “โครงกระดูก” ของขาเทียม เชื่อมต่อระหว่างเบ้าขาเทียมกับเท้าเทียมหรืออุปกรณ์ปลายขาอื่น ๆ

5.เท้าเทียม (Prosthetic Foot)

ออกแบบมาเพื่อเลียนแบบการเคลื่อนไหวตามธรรมชาติของเท้ามนุษย์ ช่วยในการทรงตัว รักษาสมดุล และส่งแรงเพื่อพาร่างกายเคลื่อนไปข้างหน้าในขณะเดิน

อุปกรณ์ขาเทียมเหล่านี้มีตั้งแต่รุ่นพื้นฐานที่เป็นกลไกธรรมดา ไปจนถึงรุ่นที่ทันสมัยซึ่งควบคุมด้วยไมโครโปรเซสเซอร์ สามารถปรับการทำงานให้เหมาะสมกับสภาพการเดินที่หลากหลายได้ อย่างไรก็ตาม แม้จะใช้ขาเทียมที่มีเทคโนโลยีล้ำหน้าขนาดไหน ผู้ใช้งานก็ยังคงประสบกับค่าความเบี่ยงเบนของการเดิน (gait deviations) ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการทรงตัว ความมั่นคง และความสามารถในการเคลื่อนไหวโดยรวม ดังนั้น การวิเคราะห์รูปแบบการเดินของผู้ใช้งานขาเทียมตั้งแต่ระยะเริ่มต้นของการใส่ขาเทียม ไปจนถึงระยะหลังการฟื้นฟูสมรรถภาพจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อช่วยลดความเบี่ยงเบนของการเดินให้ได้มากที่สุด
การวิเคราะห์การเดินอย่างละเอียดจะช่วยระบุและวินิจฉัยสาเหตุที่แท้จริงของรูปแบบการเดินที่ผิดปกติ ช่วยแนะนำการปรับแต่งขาเทียมให้เหมาะสม และวางแผนการฟื้นฟูหรือการบำบัดที่ตอบโจทย์ปัญหาทางกายภาพที่ซ่อนอยู่

วงจรการเดินด้วยขาเทียม (A Prosthetic Gait Cycle)

วงจรการเดินด้วยขาเทียมคือ ชุดของการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นขณะเดิน ซึ่งแบ่งออกเป็นสองช่วงหลัก ๆ คือ ช่วงที่ขามีการสัมผัสพื้น (Stance) และช่วงที่ขากำลังแกว่งไปข้างหน้า (Swing)

A Prosthetic Gait Cycle

ระยะยืน (Stance Phase)

ระยะนี้คิดเป็นประมาณ 60% ของวงจรการเดิน โดยเริ่มตั้งแต่ช่วงที่เท้าสัมผัสพื้นครั้งแรก ไปจนถึงช่วงที่เท้ายกออกจากพื้น 

ระยะยืนสามารถแบ่งย่อยออกได้เป็น 5 ช่วง ดังนี้:

1.Initial Contact (การสัมผัสพื้นครั้งแรก)

เป็นช่วงเวลาที่เท้าสัมผัสพื้นเป็นครั้งแรก

2.Loading Response (การรับน้ำหนัก)

เป็นช่วงที่ร่างกายเริ่มรับแรงกระแทกจากพื้นขณะเท้าทั้งหมดสัมผัสพื้น

3.Mid Stance (ช่วงยืนกลางเท้า)

น้ำหนักตัวจะถ่ายลงบนเท้าข้างที่ยืนอยู่กับที่

4.Terminal Stance (ช่วงปลายการยืน)

ส้นเท้าเริ่มยกขึ้นจากพื้น ขณะที่เท้าฝั่งตรงข้ามสัมผัสพื้น

5.Pre-Swing (ช่วงก่อนเหวี่ยงขา)

ปลายเท้าข้างเดียวกัน (ipsilateral) ดันพื้นเพื่อส่งแรงพาร่างกายไปข้างหน้า

Swing Phase

ระยะเหวี่ยงขา (Swing Phase)

ระยะนี้คิดเป็นประมาณ 40% ของวงจรการเดิน โดยเริ่มตั้งแต่ช่วงที่เท้ายกออกจากพื้น จนถึงช่วงที่เท้าสัมผัสพื้นอีกครั้ง

ระยะเหวี่ยงขาสามารถแบ่งออกเป็น 3 ช่วงย่อย ดังนี้:

1.Initial Swing (ช่วงเหวี่ยงขาเริ่มต้น)

เท้ายกขึ้นจากพื้น และเข่าจะงอเพื่อให้เท้าลอยพ้นพื้นขณะเหวี่ยงไปข้างหน้า

2.Mid Swing (ช่วงเหวี่ยงขากลาง)

ต้นขาเคลื่อนที่ไปข้างหน้า และเข่าเริ่มเหยียดออก

3.Terminal Swing (ช่วงปลายการเหวี่ยงขา)

ขาเหยียดตรงเต็มที่ เตรียมพร้อมสำหรับการสัมผัสพื้นอีกครั้งในรอบถัดไป (Initial Contact)

การวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของวงจรการเดิน (Kinematic analysis) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการติดตามมุมของข้อต่อสะโพก เข่า และข้อเท้า ช่วยให้เข้าใจรายละเอียดเกี่ยวกับช่วงพิสัยการเคลื่อนไหว (Range of Motion: ROM) ของข้อต่อต่าง ๆ ได้อย่างครอบคลุม ในกรณีของการวิเคราะห์การเดินในผู้ใช้อวัยวะเทียม ข้อมูลเหล่านี้ ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งในการเปรียบเทียบ ROM ระหว่างขาเทียมกับขาธรรมชาติ เพื่อประเมินประสิทธิภาพของการใช้งานและนำไปสู่การปรับแต่งหรือฟื้นฟูที่เหมาะสมในภายภาคหน้า

การเบี่ยงเบนที่พบได้บ่อยในการเดินด้วยขาเทียม (Common deviations in Prosthetic Gait)

Vaulting-1

การเดินแบบวอลต์ติ้ง (Vaulting)

Hip-Hiking-2

การยกสะโพก (Hip Hiking)

Lateral-Trunk-Bending-3

การเอียงลำตัวไปด้านข้าง (Lateral Trunk Bending)

Pelvic-drop-4

การตกของกระดูกเชิงกราน (Pelvic drop)

Excessive-knee-flexion-5

การงอเข่ามากเกินไป (Excessive knee flexion)

Excessive-Medial-thrust-of-Prostheses-6

การเบนเข่าเข้าด้านในมากเกินไปขณะเดิน (Medial thrust of the prosthesis)

การเบี่ยงเบนเหล่านี้อาจเกิดจาก

  1. สาเหตุจากขาเทียม เช่น การจัดแนวที่ไม่ถูกต้องหรือการใส่ขาเทียมที่ไม่พอดี
  2. สาเหตุจากพยาธิสภาพ เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง ข้อหดตัว หรือความเจ็บปวด

 

การทำการวิเคราะห์การเดินเป็นสิ่งสำคัญในขั้นตอนการปรับขาเทียมและฟื้นฟูสมรรถภาพ วิธีที่แม่นยำที่สุดคือการวิเคราะห์การเดินแบบ 2D หรือ 3D เนื่องจากสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยได้ และสามารถติดตามผลได้ทั้งก่อนและหลังการปรับขาเทียมหรือการฟื้นฟูสมรรถภาพ

ส่วนประกอบที่มีความแปรปรวนในกระบวนการนี้คือ การวางเครื่องหมาย (marker) จุดต่าง ๆ บนขาเทียม ในภาพด้านล่างจะแสดงจุดสำคัญสำหรับการวางเครื่องหมายบนขาเทียม

markerplacement2
  1. กระดูกสะโพกใหญ่ของกระดูกต้นขา (Greater trochanter of the femur)

  2. จุดกึ่งกลางของแกนข้อต่อเข่า (Centre of knee axis)

  3. กระดูกข้อเท้าด้านข้าง (Lateral malleolus)

  4. & 5. เครื่องหมายสองจุดที่แทนฝ่าเท้า (Two markers representing the sole of the foot)

markerplacement1
  1. ส่วนกลางของแกนกลางข้อต่อเข่าเทียม (Middle of the central axis of prosthetic knee joint)
  2. นิ้วเท้าที่สองของเท้าเทียม (2nd toe of prosthetic foot)

สาเหตุและคำอธิบายของการเบี่ยงเบนต่าง ๆ ในวงจรการเดินด้วยขาเทียม (Causes and description of various prosthetic gait deviations)

1.ความแปรผันของวงจรการเดิน (Gait Cycle Variability)

การเดินควรทำได้ซ้ำ ๆ และสม่ำเสมอ แต่เมื่อใช้ขาเทียมใหม่หรือขาเทียมที่ไม่พอดี ผู้ใช้มักจะรู้สึกไม่สบาย เจ็บปวด หรือไม่มั่นคง ซึ่งทำให้การเดินมีความแปรผันและไม่สม่ำเสมอ โดยเฉพาะการรับน้ำหนักระหว่างขาซ้ายและขวา ซึ่งเรียกว่าความแปรผันของวงจรการเดิน หากเปอร์เซ็นต์แปรผันสูง หมายถึงการเดินที่ไม่มั่นคง แต่ถ้าเปอร์เซ็นต์แปรผันต่ำ อาจหมายถึงการปรับตัวที่ดีขึ้นและมั่นใจในการใช้ขาเทียมมากขึ้น

On-firstday-of-gait-training

GCV – 7.44% (วันแรกของการฝึกเดิน)

regular-prosthetic-user

GCV – 1.75% (ผู้ที่ใช้ขาเทียมเป็นประจำ)

2. การเดินแบบวอลต์ติ้ง (Vaulting)

คือลักษณะการเดินที่ผู้ใช้งานขาเทียมจะเขย่งปลายเท้าของขาข้างที่ไม่ได้ใส่ขาเทียม (ขาข้างปกติ) ขึ้นในช่วงที่ต้องรับน้ำหนักเพียงข้างเดียว เพื่อช่วยให้ขาเทียมสามารถแกว่งไปข้างหน้าโดยไม่ติดพื้น หรือสร้างพื้นที่ว่างระหว่างขาเทียมกับพื้นในระยะ Mid Stance ของวงจรการเดิน มักพบว่ามีการงุ้มข้อเท้ามากเกินปกติ (excessive ankle plantarflexion)

สาเหตุที่มาจากขาเทียม (Prosthetic Causes)

  1. ขาเทียมยาวเกินไป
  2. ขาเทียมงอเข่าได้จำกัด

สาเหตุทางสรีรวิทยา (Pathophysiological Cause)

  1. กล้ามเนื้อสะโพกด้านหน้า (hip flexors) อ่อนแรง
  2. ความเคยชินในการเดิน (habit)
Vaulting

3. การยกสะโพก (Hip Hiking)

คือลักษณะความเบี่ยงเบนของการเดินที่พบในช่วง Midstance โดยจะเห็นว่าสะโพกด้านที่เหวี่ยงขาขึ้นสูงกว่าระดับแนวกลางลำตัว แทนที่จะลดระดับลงตามปกติ ซึ่งถือว่าเป็นการเคลื่อนไหวผิดปกติ สามารถสังเกตได้ชัดเจนที่สุดจากมุมมองด้านหลัง โดยวัดจากมุมระหว่างแนวระนาบ (horizontal) กับเส้นที่เชื่อมระหว่างกระดูกสันหลังส่วน Posterior Superior Iliac Spines (PSIS) ทั้งสองข้าง

สาเหตุที่มาจากขาเทียม (Prosthetic Causes)

  1. ขาเทียมยาวเกินไป ทำให้ต้องยกสะโพกข้างที่ใส่ขาเทียมในช่วงที่เหวี่ยงขาเพื่อให้พ้นจากพื้น

สาเหตุทางสรีรวิทยา (Pathophysiological Cause)

  1. กล้ามเนื้อ Quadratus Lumborum ด้านเดียวกับขาเทียม (ipsilateral) หดรั้งหรือมีความตึงตัวมากเกินไป
Hip-Hiking

4. การเอียงลำตัวไปด้านข้าง (Lateral Trunk Bending)

เป็นลักษณะการเดินที่ผู้ป่วยเอียงลำตัวไปยังด้านที่ใส่ขาเทียมในช่วงที่ขาเทียมนั้นอยู่ในระยะยืน (Stance phase) การเบี่ยงเบนลักษณะนี้สามารถสังเกตได้ชัดเจนที่สุดจากด้านหลัง (posterior view)

สาเหตุที่มาจากขาเทียม (Prosthetic Causes)

  1. ขาเทียมสั้นเกินไป
  2. เบ้าขาเทียมมีความกว้างด้านข้างมากเกินไป หรือหลวม
  3. ขาเทียมถูกจัดแนวให้อยู่ในท่ากาง (abduction)

สาเหตุทางสรีรวิทยา (Pathophysiological Cause)

  1. การชดเชยจากกล้ามเนื้อก้นด้านข้าง (hip abductors) อ่อนแรง
  2. ความยาวของตอขาที่เหลืออยู่สั้น
  3. ข้อต่อสะโพกอยู่ในภาวะหดรั้งในท่ากาง (hip abduction contracture)
  4. มีอาการปวดที่บริเวณกระดูกต้นขาด้านนอกส่วนปลาย (distal lateral femur)
Lateral-Trunk-Bending

5. การงอเข่ามากเกินไปในช่วงเหวี่ยงขา (Excessive Knee Flexion in Swing Phase)

เป็นลักษณะการเดินที่เรียกว่า Steppage gait ซึ่งสังเกตได้จากการที่เข่าและสะโพกงอมากเกินปกติในช่วงเหวี่ยงขา (swing phase) ของวงจรการเดิน โดยส้นเท้าของขาเทียมจะยกขึ้นเร็วกว่าขาข้างปกติ การเบี่ยงเบนลักษณะนี้มองเห็นได้ชัดเจนที่สุดจากด้านข้าง (lateral view)

สาเหตุที่มาจากขาเทียม (Prosthetic Causes)

  1. แรงเสียดทานของข้อเข่าไม่เพียงพอ (knee friction ต่ำเกินไป)
  2. ความตึงของระบบช่วยเหยียดเข่า (extension aid) ไม่เพียงพอ
  3. จุดหมุนของข้อเข่าอยู่สูงกว่าระดับข้อเข่าธรรมชาติ
  4. ขาเทียมมีน้ำหนักมาก
  5. ขาเทียมยาวกว่าปกติ

สาเหตุทางสรีรวิทยา (Pathophysiological Cause)

  1. การเหวี่ยงขาด้วยแรงจากสะโพกมากเกินไป (forceful hip flexion)
  2. ความเคยชินในการเดิน (habit)
Excessive-knee-flexion

6. การเบนเข่าเข้าด้านในมากเกินไปขณะเดิน (Excessive Medial Thrust of Prosthesis)

เป็นลักษณะความเบี่ยงเบนของการเดินที่พบในช่วง Midstance โดยจะเห็นว่าข้อเข่าเบนเข้าด้านในมากผิดปกติ ซึ่งสามารถสังเกตได้ชัดเจนที่สุดจากมุมมองด้านหน้า (anterior view) หรือด้านหลัง (posterior view) สาเหตุหลักมักเกิดจากการจัดแนวขาเทียมที่ไม่เหมาะสม ทำให้แรงตอบสนองจากพื้น (ground reaction forces) เกิดแรงบิดที่ผิดทิศทาง ส่งผลให้เบ้าขาเทียมหมุนไปตามแรงนั้น

สาเหตุที่มาจากขาเทียม (Prosthetic Causes)

  1. เบ้าขาเทียมติดตั้งชิดเข้าด้านในมากเกินไป
  2. ขอบบนของเบ้าขาเทียมเอียงออกด้านข้าง (ลักษณะการวางเบ้าในท่า adduction)
  3. เท้าเทียมวางเยื้องออกด้านข้างมากเกินไป หรืออยู่ในตำแหน่งด้านนอก (อาจเห็นฐานการยืนที่กว้างเกินปกติ)
  4. เท้าเทียมมีการเอียงออกด้านนอก (eversion) มากเกินไป

สาเหตุทางสรีรวิทยา (Pathophysiological Cause)

  1. เอ็นยึดข้างข้อเข่า (collateral ligaments) มีความไม่มั่นคง
Medial-thrust-of-Prostheses2
Excessive Medial thrust of Prostheses 2 Prapatsorn Medical เครื่องมือกายภาพบำบัด และตรวจปอด

การฝึกเดินใหม่สำหรับผู้ใช้ขาเทียม เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันของหลายวิชาชีพ ไม่ว่าจะเป็นแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู นักกายภาพบำบัด ช่างทำขาเทียม หรือแม้แต่นักกิจกรรมบำบัด ทุกคนล้วนมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ผู้ใช้ขาเทียมกลับมาเดินได้อย่างมั่นคงและมั่นใจ เริ่มตั้งแต่การประเมินรูปแบบการเดินอย่างแม่นยำ จนถึงการวางแผนฟื้นฟูที่ออกแบบให้เหมาะกับแต่ละคน เป้าหมายคือให้ขาเทียมทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ลดการใช้พลังงานที่มากเกินจำเป็น และที่สำคัญคือ ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างคล่องตัวและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

References แปลจากเว็บ AUPTIMO

Related Posts

Parkinson’s gait: A case study

April 24, 2025
การเดินในผู้ป่วยพาร์กินสัน (Parkinson’s gait: A case study) โรคพาร์กินสันเผยให้เห็นรูปแบบการเดินที่เป็นเอกลักษณ์ที่เรียกว่า "Festinating Gait" ซึ่งเป็นรูปแบบการเดินที่ผิดปกติ โดยสามารถสังเกตเห็นก้าวเดินที่สั้นและช้า รวมถึงการเดินที่ช้าโดยมีลักษณะการเคลื่อนไหวที่ช้า (bradykinesia) หรือแม้กระทั่งการสูญเสียการเคลื่อนไหวโดยสิ้นเชิง (akinesia)

60% stance phase – 40% swing may not always be “normal”?

April 24, 2025
การเข้าใจพารามิเตอร์เชิงเวลาเป็นสิ่งสำคัญในการศึกษารูปแบบการเดิน เพราะมันช่วยให้เราสามารถสังเกตและระบุความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม, สิ่งนี้จะสะท้อนถึงวงจรการเดินที่สมบูรณ์แบบเสมอไปหรือไม่?

Gait patterns in women with high heel shoes

April 24, 2025
พารามิเตอร์เชิงเวลา (Temporal Parameters) เวลาในช่วง Swing phase สั้นลง ความยาวก้าวสั้นลง เวลาในการรับน้ำหนักด้วยสองขาสูงขึ้น พารามิเตอร์พื้นที่ (Spatial Parameters)