การรักษาด้วย TECAR Therapy สำหรับโรค CTS (Carpal Tunnel Syndrome)
CTS เป็นประเภทของโรคประสาทหนีบที่พบบ่อยที่สุด โดยมีลักษณะอาการเช่น ปวด ชา และไม่สบายในมือ เนื่องจากการกดทับของเส้นประสาทกลางที่ข้อมือ ซึ่งอาจนำไปสู่ความพิการและความบกพร่องในการทำงานของมือได้อย่างร้ายแรง
ตัวเลือกการรักษา: มีการสำรวจวิธีการรักษาที่ไม่ต้องผ่าตัดหลายวิธีเพื่อจัดการกับ CTS รวมถึงวิธีการบำบัดทางกายภาพ บทนำนี้จึงตั้งคำถามเกี่ยวกับการศึกษาวิธีการรักษาใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง TECAR therapy ซึ่งเป็นวิธีการบำบัดที่ใช้สารกายภาพที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มการเผาผลาญในเนื้อเยื่อและส่งเสริมการหายของบาดแผล
TECAR Therapy: บทนำอธิบายว่า TECAR therapy ใช้ระบบที่ถ่ายโอนพลังงานแบบต้านทานและความจุไปยังเนื้อเยื่อ เพื่อปรับปรุงการไหลเวียนเลือดจุลภาคและลดอาการปวด วิธีการนี้ถูกมองว่าเป็นทางเลือกใหม่ที่มีศักยภาพในการรักษา CTS แทนวิธีการรักษาแบบดั้งเดิม
อาการที่ประเมินในโรคกลุ่มอาการอุ้งมือ (CTS)
ความเจ็บปวด: อาการหนึ่งที่พบบ่อยในผู้ป่วยที่มี CTS คือความเจ็บปวด ซึ่งอาจมีความรุนแรงแตกต่างกันไป และมักจะอธิบายว่าเป็นความรู้สึกแสบร้อนหรือปวดร้าวที่มือและข้อมือ มีการใช้ Visual Analog Scale (VAS) เพื่อวัดอาการนี้ก่อนและหลังการรักษา
อาการชาและรู้สึกผิดปกติ: ผู้ป่วยมักรายงานอาการชาหรือรู้สึกผิดปกติ โดยเฉพาะที่นิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลาง และบางส่วนของนิ้วนาง อาการเหล่านี้อาจทำให้รำคาญและบ่งบอกถึงการเกี่ยวข้องของเส้นประสาทกลาง
ความบกพร่องทางการทำงาน: แบบสอบถาม Boston Carpal Tunnel Questionnaire (BCTQ) ถูกใช้เพื่อประเมินความบกพร่องทางการทำงาน ซึ่งรวมถึงความยากลำบากในการทำกิจวัตรประจำวันเนื่องจากอาการของ CTS แบบสอบถามนี้ประเมินทั้งความรุนแรงของอาการและสถานะการทำงาน
ความไม่สบาย: ความไม่สบายในมือ โดยเฉพาะในกิจกรรมที่ต้องการการงอข้อมือหรือการจับแน่น เป็นอาการอีกอย่างหนึ่งที่อาจได้รับการประเมิน แม้ว่าจะไม่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนในบริบทที่ให้มา
การทดสอบทางคลินิก: นอกเหนือจากอาการทางอาการ ยังมีการทดสอบทางคลินิก เช่น การทดสอบของ Tinel และท่าทดสอบของ Phalen ที่อาจใช้เพื่อประเมินการมีอาการของ CTS แม้ว่าผลลัพธ์จากการทดสอบเหล่านี้จะไม่ได้ระบุไว้โดยละเอียด
อาการเหล่านี้รวมกันให้ภาพรวมที่ครอบคลุมถึงผลกระทบของ CTS ต่อผู้ป่วย ซึ่งช่วยในการประเมินประสิทธิภาพของการรักษา
การทดสอบทางคลินิกที่ใช้ในการศึกษา CTS
Tinel’s Sign: การทดสอบทางคลินิกนี้เกี่ยวข้องกับการตบเบาๆ ที่เส้นประสาทกลางที่ข้อมือเพื่อกระตุ้นอาการชาในนิ้ว ซึ่งบ่งบอกถึงการระคายเคืองหรือการกดทับเส้นประสาท มันเป็นการทดสอบที่ใช้บ่อยในการวินิจฉัย CTS
Phalen’s Maneuver: การทดสอบนี้ต้องการให้ผู้ป่วยงอข้อมือและรักษาท่านั้นไว้เป็นเวลาหนึ่ง หากมีอาการเช่นอาการชาหรือปวดในนิ้วระหว่างทำท่านี้ จะบ่งบอกถึงการมี CTS
Reverse Phalen’s Test: คล้ายกับท่าทดสอบของ Phalen การทดสอบนี้เกี่ยวข้องกับการยืดข้อมือและรักษาให้อยู่ในท่านั้น อาการที่เกิดขึ้นระหว่างการทดสอบนี้ยังสามารถบ่งบอกถึงการกดทับเส้นประสาทกลาง
Compression Test: การทดสอบนี้เกี่ยวข้องกับการกดดันที่อุ้งมือเพื่อดูว่ามันทำให้เกิดอาการของ CTS หรือไม่ เช่น ความเจ็บปวดหรืออาการชาในนิ้ว
การประเมินอาการทางคลินิก: การศึกษายังรวมถึงการประเมินอาการทางคลินิกทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับ CTS ซึ่งจะรวมถึงการประเมินความรุนแรงและผลกระทบของอาการต่อกิจกรรมประจำวัน
การทดสอบทางคลินิกเหล่านี้มีความสำคัญในการยืนยันการวินิจฉัย CTS และการประเมินประสิทธิภาพของการรักษาด้วยการบำบัดด้วย TECAR Therapy
ขั้นตอนการใช้บำบัดด้วย TECAR
การเตรียมผู้ป่วย: ก่อนเริ่มการบำบัดด้วย TECAR ผู้ป่วยจะถูกจัดวางให้สบาย และเปิดเผยบริเวณที่จะรักษา (ข้อมือและมือ) นักบำบัดจะตรวจสอบให้แน่ใจว่าผิวหนังสะอาดและปราศจากโลชั่นหรือน้ำมันที่อาจกีดขวางการรักษา
การเลือกอิเล็กโทรด: เครื่อง TECAR ใช้อิเล็กโทรดสองประเภท: อิเล็กโทรดแอคทีฟและอิเล็กโทรดพาสซีฟ อิเล็กโทรดแอคทีฟจะถูกวางบนบริเวณที่กำลังรักษา ขณะที่อิเล็กโทรดพาสซีฟจะวางบนบริเวณใกล้เคียงเพื่อสร้างวงจรที่สมบูรณ์
การตั้งค่าเครื่อง: เครื่อง TECAR ถูกตั้งค่าที่ความถี่ 500 Hz และความเข้มระหว่าง 30% ถึง 50% การตั้งค่าเหล่านี้มีความสำคัญต่อการถ่ายโอนพลังงานไปยังเนื้อเยื่ออย่างมีประสิทธิภาพ
เทคนิคการใช้งาน: อิเล็กโทรดแอคทีฟแบบคาปาซิทีฟถูกเคลื่อนไหวในรูปแบบวงกลมเหนือเส้นทางของเส้นประสาทกลาง จากโพรงข้อมือตอนบนสุดไปยังฝ่ามือ การเคลื่อนไหวนี้ช่วยในการถ่ายโอนพลังงานไปยังเนื้อเยื่ออย่างมีประสิทธิภาพ อิเล็กโทรดพาสซีฟยังคงอยู่ในที่ที่ด้านหลังมือระหว่างการรักษา
ระยะเวลาและความถี่ของการรักษา: แต่ละรอบรักษามีระยะเวลาที่กำหนด โดยทั่วไปประมาณ 20-30 นาที และการรักษาจะทำสองครั้งต่อสัปดาห์เป็นเวลาสี่สัปดาห์ ความถี่นี้ถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มผลของการรักษา
การติดตามการตอบสนองของผู้ป่วย: ระหว่างการรักษา นักบำบัดจะตรวจสอบการตอบสนองของผู้ป่วยต่อการบำบัด และปรับความเข้มของการรักษาหากจำเป็น เพื่อให้แน่ใจว่าสะดวกสบายขณะที่ได้รับประโยชน์ทางการรักษา
การดูแลหลังการรักษา: หลังจากการรักษา นักบำบัดอาจให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลหลังการรักษา รวมถึงแนะนำการใช้สายรัดข้อมือและการเสริมวิตามินบี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการรักษารวมในการศึกษา
ขั้นตอนเหล่านี้ได้แสดงถึงวิธีการที่ระบบมาตรฐานในการใช้การบำบัดด้วย TECAR กับผู้ป่วยที่มีอาการข้อมืออักเสบระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
เกณฑ์การวางอิเล็กโทรดในการบำบัดด้วย TECAR
การวางอิเล็กโทรดแอคทีฟ: อิเล็กโทรดแอคทีฟแบบ capacitive จะถูกวางโดยตรงบนบริเวณที่ทำการรักษา โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นเส้นทางของเส้นประสาทมีเดียน การวางอิเล็กโทรดในตำแหน่งนี้มีความสำคัญ เนื่องจากช่วยให้การถ่ายโอนพลังงานไปยังเนื้อเยื่อที่ได้รับผลกระทบจากอาการข้อมืออักเสบ (CTS) มีประสิทธิภาพ
การวางอิเล็กโทรดพาสซีฟ: อิเล็กโทรดพาสซีฟจะถูกยึดไว้ที่ด้านหลังของมือ ตำแหน่งนี้ช่วยให้เกิดวงจรไฟฟ้าที่จำเป็นสำหรับการบำบัดด้วย TECAR ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เทคนิคการเคลื่อนที่: ระหว่างการรักษา อิเล็กโทรดแอคทีฟจะถูกเคลื่อนในลักษณะวงกลมจากบริเวณใกล้เคียงโพรงข้อมือไปยังฝ่ามือ เทคนิคนี้ออกแบบมาเพื่อให้พลังงานกระจายอย่างสม่ำเสมอตามเส้นทางของเส้นประสาทมีเดียน ช่วยเพิ่มผลทางการรักษาให้สูงสุด
การพิจารณาความสะดวกสบายของผู้ป่วย: ในขณะที่วางอิเล็กโทรด นักบำบัดต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้ป่วยรู้สึกสบาย และอิเล็กโทรดถูกยึดไว้อย่างมั่นคง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเคลื่อนไหวที่อาจรบกวนการรักษา
สรุปรายละเอียดการศึกษาเกี่ยวกับการบำบัดด้วย TECAR สำหรับโรคพังผืดกดทับเส้นประสาทที่ข้อมือ (Carpal Tunnel Syndrome – CTS)
โรคพังผืดกดทับเส้นประสาทที่ข้อมือ (CTS) เป็นภาวะเส้นประสาทส่วนปลายที่ถูกกดทับ ซึ่งแสดงอาการเช่น ปวด ชา และรู้สึกไม่สบายที่มือ การรักษาแบบไม่รุกรานหลายวิธีถูกนำมาใช้เพื่อจัดการกับอาการนี้ รวมถึงวิธีบำบัดใหม่ที่เรียกว่า Transfer Energy Capacitive and Resistive (TECAR)
วัตถุประสงค์ของการศึกษา:
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินประสิทธิภาพของการบำบัดด้วย TECAR ต่ออาการทางคลินิกและพารามิเตอร์ทางระบบประสาทในผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะ CTS ระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
ระเบียบวิธีวิจัย:
- การออกแบบ: การทดลองทางคลินิกแบบสุ่มปกปิดเดียว โดยมีผู้ป่วย 29 คนที่มีภาวะ CTS ระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
- กลุ่ม: ผู้เข้าร่วมถูกสุ่มแบ่งเป็น 2 กลุ่ม:
- กลุ่มที่ 1: ได้รับการบำบัดด้วย TECAR (ความถี่ 500 Hz ความเข้ม 30-50%) สองครั้งต่อสัปดาห์เป็นเวลา 4 สัปดาห์ พร้อมกับใส่เฝือกข้อมือและรับประทานวิตามินบี
- กลุ่มที่ 2: ได้รับเฉพาะการใส่เฝือกข้อมือและวิตามินบี โดยไม่รับการบำบัดด้วย TECAR
- เครื่องมือประเมิน: ประสิทธิภาพของการรักษาถูกวัดด้วย Visual Analog Scale (VAS) สำหรับการปวด และแบบสอบถาม Boston Carpal Tunnel Questionnaire (BCTQ-SSS และ FSS) รวมถึงการประเมินทางคลินิกและระบบประสาททั้งก่อนและหลังการรักษา
ผลลัพธ์:
- ผลลัพธ์ทางคลินิก: พบว่ากลุ่มที่ได้รับการบำบัดด้วย TECAR มีการพัฒนาที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในคะแนน VAS และ BCTQ ซึ่งแสดงถึงการบรรเทาอาการปวดและการปรับปรุงด้านการทำงานของมือมากกว่ากลุ่มควบคุม
- พารามิเตอร์ทางระบบประสาท: ไม่มีความแตกต่างที่สำคัญในผลการทดสอบทางคลินิกและการประเมินระบบประสาทไฟฟ้าทั้งก่อนและหลังการรักษาในทั้งสองกลุ่ม ซึ่งหมายความว่าแม้การบำบัดด้วย TECAR จะช่วยปรับปรุงอาการทางคลินิก แต่ไม่ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่วัดได้ในด้านระบบประสาท
ข้อสรุป
การศึกษานี้สรุปว่าการบำบัดด้วย TECAR เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสำหรับการรักษา CTS ได้ดี โดยเฉพาะในด้านการบรรเทาอาการปวดและการปรับปรุงการทำงานของมือ อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมที่มีจำนวนผู้เข้าร่วมมากขึ้นและมีการติดตามผลในระยะยาว เพื่อศึกษาผลกระทบในระยะยาวและการเปลี่ยนแปลงของพารามิเตอร์ระบบประสาท